ตอนที่ 283 สนามพลังของเย่ว์หยาง
“ความลับของคัมภีร์อัญเชิญน่ะหรือ?”
แน่นอน เย่ว์หยางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความลับของคัมภีร์อัญเชิญ
ตัวอย่างเช่น มันมีที่มาจากที่ใดกันแน่?
คัมภีร์อัญเชิญเหล่านี้ ใครเป็นคนสร้างขึ้นมา? สร้างโดยมนุษย์หรือเทพเจ้า?
สัตว์อสูรถูกเรียกเข้าไปในคัมภีร์อัญเชิญได้อย่างไร? อาหมันโคเงาของเขาใช้กระดิ่งทอง, กำไลและอาวุธได้อย่างไร? เสี่ยวเหวินหลีและอาหงนางพญากระหายเลือดย้ายบ้านเข้าไปอยู่ในคัมภีร์เทพฤทธิ์ได้อย่างไร? คัมภีร์อัญเชิญมอบทักษะแฝงเร้นให้กับเจ้าของผู้ครอบครองได้อย่างไร? อสูรพิทักษ์ของเจ้าของคัมภีร์ที่ไม่มีทางตายได้จริงๆ มาจากไหน? สัตว์อสูรยกระดับจากประสบการณ์ต่อสู้ได้อย่างไร?
มีคำถามจำนวนไม่ถ้วนที่เย่ว์หยางไม่เคยคิดอย่างสนใจจริงจังมาก่อน
เหตุผลก็เพราะไม่มีผู้ใดรู้คำตอบ
กระทั่งเดี๋ยวนี้ เมื่อนางพญาเฟ่ยเหวินหลีตัดสินใจแบ่งปันความลับให้เขา ในที่สุดเย่ว์หยางก็ตระหนักว่าคำตอบของคำถามทั้งหมดอยู่เคียงข้างตัวเขามาตลอด
“ความลับของคัมภีร์อัญเชิญมีมากมายนับไม่ถ้วน แม้แต่ข้าเองก็ไม่สามารถรู้ได้หมด”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีกอดเสี่ยวเหวินหลีขณะสายตานางจ้องดูเย่ว์หยาง
“อย่างไรก็ตาม ในบรรดาความรู้ของข้า คัมภีร์อัญเชิญ ก็คล้ายกับอักษรรูนโบราณและอักษรรูนดึกดำบรรพ์ ปรากฏออกมาในยุคแรกก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเมื่อใด มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากระหว่างคัมภีร์อัญเชิญและอักษรรูน อาจกล่าวได้ว่ามันถูกสร้างโดยเทพเจ้าในยุคดึกดำบรรพ์ คัมภีร์อัญเชิญก็คือหนังสือที่ถูกสร้างขึ้นและยอมให้มนุษย์กลายเป็นผู้แข็งแกร่งขึ้น เป็นบันไดให้มนุษย์ก้าวหน้าไปจนถึงแดนสวรรค์”
“คัมภีร์อัญเชิญมีจำนวนจำกัดหรือเปล่า?”
เย่ว์หยางต้องการรู้ว่าคัมภีร์อัญเชิญมีอยู่เท่าใด หรือไม่ก็มีการจำกัดจำนวนคัมภีร์อัญเชิญหรือไม่
“ถูกแล้ว”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
“ข้าไม่เคยเห็นบันทึกเป็นเอกสารมาก่อน ดังนั้นข้าไม่มั่นใจเต็มร้อย ทว่าจากข่าวลือในโลกนี้ รวมทั้งหอทงเทียน, แดนสวรรค์และดินแดนรอบนอก มีคัมภีร์ชั้นทองแดงเพียงหมื่นเล่ม, คัมภีร์เงินห้าพันเล่ม คัมภีร์ทองพันเล่ม, คัมภีร์แพลตตินัมห้าร้อยเล่ม และคัมภีร์เพชรร้อยเล่ม นี่คือจำนวนที่แน่นอน ดังนั้นถ้าเจ้ามีคัมภีร์เพชรเล่มหนึ่ง นั่นหมายความว่า จะมีคัมภีร์เพชรเหลืออยู่อีก 99 เล่ม ถ้าคัมภีร์เพชรร้อยเล่มเป็นจำนวนตายตัวที่ถูกพบ แม้ว่ามีคนบางคนพบว่าต้องการยกระดับคัมภีร์ของพวกเขาขึ้นเป็นคัมภีร์เพชร พวกเขาจะไม่สามารถยกระดับขึ้นได้ เว้นแต่พวกเขาฆ่าเจ้าของคัมภีร์เพชรตาย แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถยกระดับขึ้นเป็นคัมภีร์ชั้นเพชรได้ มันจะเป็นระดับอื่นนอกจากคัมภีร์แพลตตินัมและที่ต่ำกว่า อันดับจะไม่เพิ่มขึ้นจากการสั่งสมประสบการณ์ต่อสู้ จำเป็นต้องได้เงื่อนไขพิเศษ หนึ่งในนั้นก็คือ การเชื่อมโยงทางโลหิต”
“ข้าเข้าใจแล้ว...”
เย่วหยางเข้าใจจนได้ มิน่าเล่านักสู้ปราณก่อกำเนิดที่เขาพบจนบัดนี้ มีแต่เพียงคัมภีร์ชั้นแพลตตินัม ไม่มีใครมีคัมภีร์เพชรมาก่อน
ในจำนวนที่นางพญาเฟ่ยเหวินหลีพูดถึง เย่ว์หยางสามารถคำนวณได้
ในความเป็นจริง จำนวนเจ้าของคัมภีร์อัญเชิญในทวีปมังกรทะยานถือว่าต่ำมาก มีแค่เพียงสี่ตระกูลใหญ่, สี่นิกายใหญ่, สามอาณาจักรและอัจฉริยะระดับสูงเพียงหยิบมือที่ครอบครองคัมภีร์อัญเชิญ ในทวีปมังกรทะยานมีคัมภีร์ทองแดงไม่เกิน 200 เล่ม นั่นก็เพียง 1% ของกำหนดจำนวนคัมภีร์ทองแดงทั้งหมด ส่วนจำนวนคัมภีร์เงิน, ทอง, แพลตตินัมยังน้อยกว่านั้นไปอีก
ปีศาจแดนอเวจีจะแข็งแกร่งกว่าทวีปมังกรทะยานเล็กน้อย ยังไม่มากพอที่จะบดขยี้ทวีปมังกรทะยานได้ เย่ว์หยางคาดว่ามีคัมภีร์ไม่มากในแดนปีศาจนอกจากทวีปมังกรทะยาน
พอดูจำนวนเจ้าของคัมภีร์อัญเชิญ เห็นได้ชัดว่าทวีปมังกรทะยานอ่อนแอมาก
ดูเหมือนสถานที่ๆ ทรงพลังมากที่สุดในโลกนี้ต้องเป็นแดนสวรรค์ที่ร่ำลือกัน
สำหรับเผ่าปีศาจบูรพาและปีศาจจากแดนอเวจี แม้ว่าพวกเขาจะดีกว่าชาวทวีปมังกรทะยานเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าแดนสวรรค์
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางอยากรู้เรื่องคัมภีร์เทพฤทธิ์ของเขามากที่สุด
เกิดอะไรขึ้นกับคัมภีร์เทพฤทธิ์นั้น?
เย่ว์หยางลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะถามคำถามนี้กะนางพญาเฟ่ยเหวินหลี
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเย่ว์หยางจะมีคัมภีร์เทพฤทธิ์ นางจึงยิ้ม
“คัมภีร์เทพฤทธิ์ แบ่งเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์และคัมภีร์เทพเจ้า ทั้งสองระดับนี้มีชื่อและลักษณะที่คล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันในเรื่องความแข็งแกร่งและพลัง มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์รวม 100 เล่ม แต่คัมภีร์เทพจะมี 10 เล่ม ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์หรือคัมภีร์เทพ ทั้งหมดนั้นจะมีลักษณะที่ไม่ซ้ำกัน แต่ละเล่มจะมีพลังและความสามารถของตนเป็นพิเศษ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถยกระดับไปเป็นคัมภีร์เทพได้ แต่คัมภีร์เพชรจะยกระดับขึ้นเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ตราบเท่าที่เจ้าของคัมภีร์เพชรสามารถฆ่าเจ้าของคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ได้และผสานคัมภีร์พวกเขาเข้าด้วยกัน คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้น สำหรับคัมภีร์เทพ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คัมภีร์ธรรมดาจะยกระดับไปเป็นคัมภีร์เทพได้ ในทางทฤษฎี นอกจากพระเจ้าและเทพแล้ว คัมภีร์เทพไม่ใช่ของที่สิ่งมีชีวิตชั้นล่างจะครอบครองได้ อย่างไรก็ตาม มันอาจถูกชิงไปก็ได้ ตราบเท่าที่ผู้ใดผู้หนึ่งมีพลังเช่นนั้นที่อยู่เหนือเทพเจ้า คัมภีร์เทพอาจถูกชิงไปได้เมื่อมีคนฆ่าเทพเจ้า...”
“ฆ่าเทพเจ้าเพื่อชิงคัมภีร์เทพน่ะหรือ? เทพเจ้ามีอยู่จริงๆ หรือ?”
เย่ว์หยางพูดไม่ออก
“ไม่มีใครเคยเห็นเทพเจ้า ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง อย่างไรก็ตาม ตามคำร่ำลือแต่โบราณ มีอยู่ครั้งหนึ่งเทพตนหนึ่งถูกนักรบชาวมนุษย์ฆ่า เขาร่วงลงมาจากดินแดนสูงสุดตกลงมาในโลก นั่นคือร่วงจากแดนสวรรค์ตกลงมาในทวีปมังกรทะยาน ณ สถานที่ๆ เทพเจ้าร่วงลงมา พวกมนุษย์ตัดสินใจสร้างศาลผนึกเทพขนาดยักษไว้ อย่างไรก็ตาม ศาลผนึกเทพถูกทำลายระหว่างสงครามร้อยเผ่า จากนั้นมนุษยชาติรุ่นต่อมาเรียกสถานที่ปรักหักพังแห่งนี้ว่า”แดนล่มสลายแห่งทวยเทพ”””
เมื่อนางพญาเฟ่ยเหวินหลีพูดถึงเรื่องนี้ เย่ว์หยางถึงกับเหงื่อพร่างพรู
กลับกลายเป็นว่าแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ มีประวัติศาสตร์เช่นนั้น
มิน่าเล่า ถึงได้ตั้งอยู่สถานที่เงียบสงบที่สุดภายในหอทงเทียน กลายเป็นว่าเป็นสถานที่ๆ เทพเจ้าถูกผนึกไว้... แต่ เทพเจ้ามีจริงๆ หรือ?
เย่ว์หยางไม่ค่อยแน่ใจนัก
บางทีเทพเจ้าก็เป็นแค่นักสู้ผู้แข็งแกร่งกว่านั่นเอง
ภาพของเทพธิดากระบี่ฟ้าและนักพรตเฒ่าแว่บเข้ามาในใจของเย่ว์หยาง เทพธิดากระบี่ฟ้ามีความสามารถที่ถล่มฟ้าทลายดินเพียงแค่เคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เย่ว์หยางได้เห็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดมาหลายคน แต่พวกเขาก็ไม่ต่างกับมดเลยเมื่อเทียบกับนาง ถ้าเทพธิดากระบี่ฟ้าสามารถปรากฏตัวในโลกนี้ได้ อย่างนั้นนางจะนับว่าเป็นเสมือนเทพได้หรือไม่? หรือว่านักพรตเฒ่า ที่ดูเหมือนว่าเขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าเทพธิดากระบี่ฟ้าเสียอีก
เกี่ยวกับเรื่องเทพและความมีอยู่ของเทพ เย่ว์หยางตัดสินใจไม่คิดถึงอีกต่อไป เขายังไปไม่ถึงระดับนั้น ดังนั้นจึงไม่ควรคิดถึงมันในตอนนี้
“ข้าเพียงได้ยินเรื่องคัมภีร์เทพจากคำร่ำลือ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้น ข้าจึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์เทพ ข้ารู้แต่ว่ามีอยู่ อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าต้องการถามถึงคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ คัมภีร์ที่อยู่ในมือข้านี้ คือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีวางมือแปะลงบนโลงแก้วผลึกเบาๆ ขณะที่นางยิ้มหวานให้เย่ว์หยาง
“พลังพิเศษเช่นใดหรือที่ทำให้ท่านได้คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์?”
เย่ว์หยางคาดไว้แล้วว่านางครอบครองคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่ง เขาถามเรื่องนี้เพราะเขาต้องการเปรียบเทียบกับคัมภีร์เทพฤทธิ์ของเขา
เย่ว์หยางสงสัยเป็นอย่างมากว่าคัมภีร์เทพฤทธิ์ในมือของเขาจะเป็นคัมภีร์เทพในตำนาน
เขาต้องการเทียบกับคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี
ถ้าคัมภีร์ทั้งสองเล่มแตกต่างกัน อย่างนั้นคัมภีร์ของเขาต้องเป็นคัมภีร์เทพ ถ้าเขามีคัมภีร์ทวยเทพ เขาก็คงจะมีสาวงามมากขึ้น เย่ว์หยางคิดว่าอนาคตชีวิตรักของเขาดูแล้วว่าจะมีแนวโน้มที่ดี
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กหนุ่มนี้มีคัมภีร์เทพฤทธิ์? นางเพียงคิดว่า เขาแค่สงสัยดังนั้นนางจึงแสดงให้เขาดู
เย่ว์หยางมีความสุข
ทั้งนี้เพราะเขาตระหนักว่าคัมภีร์เทพฤทธิ์ของเขาแตกต่างจากของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีเล็กน้อย มีโอกาสสูงที่จะเป็นคัมภีร์เทพเจ้า แน่นอนว่า ก่อนที่เขาจะแน่ใจเรื่องนั้น เขาตัดสินใจว่าจะไม่บอกว่าเขาครอบครองคัมภีร์เทพฤทธิ์ในขณะนั้น เขาจะค้นหาความลับเกี่ยวกับมันให้ได้เสียก่อน บางทีนางพญาเฟ่ยเหวินหลีเกรงว่านางจะทำร้ายความมั่นใจของเย่ว์หยาง ถ้านางพูดมากเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
หลังจากเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของเย่ว์หยางแล้ว นางบอกเรื่องคัมภีร์ทองแดง, เงิน, ทองและแพลตตินัมทั้งหมดแก่เขา
“ผู้ที่ครอบครองคัมภีร์อัญเชิญ ก็จะครอบครองมิติจัดเก็บด้วย ไม่สิ ควรจะเรียกว่าดินแดนแห่งหนึ่งเสียมากกว่า คัมภีร์ที่มีระดับสูงกว่า ก็จะยิ่งมีโลกภายในที่สมบูรณ์มากขึ้น พื้นที่ภายในคัมภีร์ทองแดงเป็นเพียงพื้นที่ว่าง มืด ไม่มีอะไรอยู่ข้างในแม้แต่น้อย สัตว์อสูรทำได้แต่เพียงหลับเท่านั้น เมื่อมันเข้าไปในคัมภีร์ทองแดง อีกนัยหนึ่ง พื้นที่ภายในคัมภีร์เงินจะเต็มไปด้วยแสงและแผ่นดิน ขณะที่คัมภีร์ทองจะเต็มไปด้วยภูเขาและแม่น้ำ สัตว์อสูรสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้เมื่อพวกมันเข้าไปในคัมภีร์ พวกมันไม่ต้องหลับ พื้นที่ในคัมภีร์แพลตตินัมจะกว้างกว่าโดยสิ้นเชิง มีนก ผีเสื้อ ดอกไม้และพืชพันธุ์อยู่ในท่ามกลางสิ่งอื่นอีกมากมาย สัตว์อสูรสามารถใช้ชีวิตอยู่ภายในอย่างมีความสุขมาก”
พอได้ยินคำพูดของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี เย่ว์หยางคิดว่ามันคล้ายกับดินแดนในความฝันของเขามาก
ในตอนแรก ไม่มีอะไรในความฝันของเขา มีแต่เพียงแสงและเมฆ
หลังจากนั้นมา ก็ค่อยๆ กลายเป็นโลกที่งดงามไปด้วยดอกไม้และต้นไม้, ภูเขาและแม่น้ำ
เย่ว์หยางรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาสร้าง แต่เป็นเพราะพลังของเทพธิดากระบี่ฟ้า ใครจะรู้ว่าภายในคัมภีร์อัญเชิญ จะมีสิ่งที่เหมือนกันนี้เกิดขึ้น
เมื่อเขากำลังฝันและเข้าไปในดินแดนฝันของเขา เป็นไปได้ไหมว่าเขาเข้าไปในพื้นที่ในคัมภีร์ของเขาเอง?
“ข้าสามารถเข้าไปในพื้นที่ในคัมภีร์อัญเชิญได้ไหม?”
เย่ว์หยางถาม
“นักรบธรรมดาสามารถเข้าไปได้เพียงพื้นที่ภายในคัมภีร์ชั้นแพลตตินัม แต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดสามารถเข้าไปในคัมภีร์ชั้นทอง หรือแม้แต่คัมภีร์เงินก็ได้ ถ้าเป็นนักรบธรรมดาต้องการจะเข้าไปในพื้นที่คัมภีร์ชั้นแพลตตินัม เขาต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของคัมภีร์เสียก่อน ต้องมีอสูรศักดิ์สิทธิ์ยอมรับเขา มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถออกมาได้ทันทีที่เข้าไป ถ้าเจ้าต้องการจะเข้าไปในพื้นที่ภายในคัมภีร์ของเจ้า เจ้าต้องเรียนรู้วิธีใช้วงเวทรูนเทเลพอร์ตพิเศษซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะคัมภีร์เจ้า ข้าคิดว่าไม่น่ายากสำหรับเจ้า..”
นอกจากสอนเย่ว์หยางถึงวิธีเข้าไปในพื้นที่คัมภีร์ของเขา นางพญาเฟ่ยเหวินหลียังอธิบายให้เขาด้วย แล้วประทับมือนางลงที่หน้าผากของเย่ว์หยาง
แสงสีรุ้งเริ่มสว่างเจิดจ้า
เย่ว์หยางรู้สึกได้ว่าร่างของเขาไม่ได้ขยับ แต่วิญญาณของเขาได้เทเลพอร์ตไปอย่างรวดเร็วและลึกเข้าไปในอีกที่หนึ่ง
ในทันใดนั้น เขาสามารถรู้สึกได้ไม่สิ้นสุด ถึงโลกรกร้างซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
ทั้งโลกถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง สิ่งมีชีวิตและสิ่งก่อสร้างทุกอย่างถูกแช่แข็งทั้งหมด
นี่คือโลกที่ตายไปแล้วสิ้นเชิง
เมื่อนางพญาเฟ่ยเหวินหลีเลื่อนมือของนางออกจากหน้าผากของเย่ว์หยาง เย่ว์หยางรู้สึกว่าวิญญาณของเขากลับเข้ามาที่ร่างของเขา ทุกอย่างที่เขาเพิ่งเห็นเป็นเหมือนฝันตื่นหนึ่ง
“เป็นเพราะผนึกหลุมดำ ข้าจึงไม่มีความสามารถส่งเจ้าเข้าไปในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้าเพียงแต่แสดงวิธีการให้เจ้าดู เพื่อที่ว่าเจ้าจะสามารถรู้สึกได้ถึงวิธีทำด้วยตัวเจ้าเอง พื้นที่ภายในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ความจริงเป็นโลกที่สวยงาม เหตุผลที่ทุกอย่างถูกแช่แข็งก็เพราะมีพลังไม่พอที่จะรักษามันไว้ ตราบใดที่ข้าสามารถไปจากมิติหลุมดำนี้ได้และฟื้นฟูพลังได้ ทุกอย่างจะกลับสู่สภาพปกติ”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีถอนหายใจเล็กน้อย นางรู้ว่าแม้ว่าเย่ว์หยางจะมีความก้าวหน้ารวดเร็วมาก แต่เขาก็ยังอยู่ห่างจากความสามารถช่วยเหลือนางออกจากผนึกได้... นางจะรู้สึกขอบคุณ หากว่าเขาสามารถเข้ามาภายในมิตินี้ จากนั้นคุยสนทนากับนางและให้พลังงานแก่นางบ้าง
“ท่านเหนื่อยหรือ?”
พอเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีแล้ว เย่ว์หยางรู้ว่ามิติหลุมดำกำลังส่งผลต่อนางอย่างใหญ่หลวง จะดีที่สุดที่นางกลับไปอยู่ในโลงแก้วผลึกของนางและสู่ห้วงนิทราต่อไป จากนั้นฟื้นพลังของนางให้มากขึ้น เขาเรียนรู้ความลับจากนางมากมายและเขามั่นใจว่าเขาสามารถเข้ามิติหลุมดำได้อีกครั้งแน่ เขาไม่เร่งถามคำถามมากเกินไป ยังมีโอกาสที่จะทำเช่นนั้นในอนาคตอีก
“หนุ่มน้อย! เจ้าเรียนรู้วิธีคิดเรื่องคนอื่นในรอบปีหนึ่งที่เราไม่ได้พบกันหรือ?”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีหัวเราะเบาๆ แต่นางไม่ขัดขืนเมื่อเย่ว์หยางอุ้มนางลงในโลงแก้วผลึกทันที
“คำถามสุดท้าย ทำไมกลายเป็นว่านักสู้ปราณก่อกำเนิดที่ได้พบจึงแตกต่างกันมากนักเล่า?”
เย่ว์หยางถามข้อสงสัยของเขา
บรรดานักสู้ปราณก่อกำเนิดที่เย่ว์หยางเคยพบมา เกือบทั้งหมดแบ่งออกเป็น 2 พวก
พวกหนึ่งเป็นประมุขนิกายพันปีศาจ, ซุ่นเทียน, ผู้เฒ่าหนานกง, นางเซียนหงส์ฟ้า, จักรพรรดินีราตรีและคนอื่นๆ นักสู้ปราณก่อกำเนิดเหล่านี้แข็งแกร่งกันทุกคนเกินจะเปรียบเทียบ แม้แต่เย่ว์หยางที่บรรลุถึงขอบเขตนี้ก็ยังมองไม่เห็นถึงพลังที่พวกเขาซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก พวกที่สองเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดอย่างถูเฉิง, ขวงจั่น, ตวนมู่, หลิวเฮ่อ, เหยากวง, ไคหยางและคนอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด แต่พลังของพวกเขายังถือว่าเล็กน้อยเกินไป
ทำไมพลังของพวกเขาถึงแตกต่างกันมากมาย ทั้งที่ทุกคนก็เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด
ใช่เพราะวิธีฝึกฝนที่แตกต่างกันของแต่ละคนหรือไม่?
หรือมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งอื่นอีก?
หรือเป็นเพราะเหตุผลอย่างอื่น?
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีตกใจเล็กน้อยเมื่อนางได้ยินคำถามของเย่ว์หยาง อย่างไรก็ตาม นางเปลี่ยนท่าทีเร็วและยิ้มให้
“ข้าเข้าใจแล้ว กลายเป็นว่านักสู้ปราณก่อกำเนิดในทวีปมังกรทะยานก็มีของเทียมได้ด้วย เย่ว์หยางน้อย สิ่งที่เจ้าเห็นอาจเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดเทียม.... พวกเขาไม่ได้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดจากการฝึกฝนและพากเพียร พวกเขากลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดผ่านพลังช่วยเหลือภายนอก ตัวอย่างเช่นด้วยการช่วยเหลือของนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่น หรือด้วยการใช้ยาลับช่วย ฉุดดึงพวกเขาให้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดโดยที่ยังไม่พร้อม นักสู้ปราณก่อกำเนิดเทียมเหล่านี้ แม้ว่าพวกเขาจัดว่าเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดก็ตาม แต่พลังของพวกเขาอ่อนแอมาก และพวกเขาจะไม่สามารถก้าวหน้าในชีวิตเขาได้อีก พวกเขาน่าสมเพชมากกว่า นักสู้ปราณก่อกำเนิดที่แท้จริงจะมีอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เติบโตมาพร้อมกับพวกเขาและครอบครองสนามพลังที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน”
เมื่อเย่ว์หยางได้ยินนางอธิบาย ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
ทำไมนิกายพันปีศาจถึงไม่สนใจที่เขาฆ่าถูเฉิงและขวงจั่น? ทำไมถูเฉิงและขวงจั่นถึงไม่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์?
ดูเหมือนถูเฉิงและขวงจั่นจะกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดผ่านการช่วยเหลือของประมุขนิกายพันปีศาจ
พวกเขาอาจถูกสร้างขึ้นมาเพราะประมุขนิกายพันปีศาจต้องการบริวารผู้ภักดี คงจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าพวกเขาตาย ประมุขนิกายพันปีศาจก็ยังสามารถสร้างนักสู้ปราณก่อกำเนิดเทียมอื่นอีก ถ้าเขาต้องการ ดังนั้น เขาจึงไม่ซ่อนเร้นความแค้นต่อเย่ว์หยางเพียงเพราะเขาฆ่าถูเฉิงและขวงจั่น
เย่ว์หยางคิดต่อไป ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์หรือสนามพลัง
บางทีเสี่ยวหวินหลีและนางพญากระหายเลือดสามารถเหมานับเข้าเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่เย่ว์หยางได้ยินเรื่องสนามพลัง
สนามพลังคืออะไร?
“สนามพลังของเจ้า.. ข้าก็ยังมองไม่เห็นมันเลย มันซ่อนอยู่ในใจส่วนลึกของเจ้า ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับไฟ แต่ก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องอย่างอื่นด้วย ข้าไม่แน่ใจนัก”
คำพูดของนางพญาเฟ่ยเหวินหลีทำให้เย่ว์หยางตกใจ
เป็นไปได้ไหม สนามพลังของเขาก็คือพลังลึกลับที่ปรากฏ เมื่อใดก็ตามที่เขาหมดสติ?
เขาจำได้เมื่อตอนที่เขาสู้กับผู้อาวุโสเทียนสั่วตัวปลอม อสุรกายที่ถูกผนึกได้ปรากฏตัว เขาไม่อาจสู้ได้และหมดสติไปในทันที เมื่อเขาฟื้น เขาพบว่าอสุรกายตัวนั้นถูกเขาฆ่าตายทันที เย่ว์หยางมักสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เขารู้แต่เพียงว่ามีพลังลึกลับในร่างของเขาที่ยังคงช่วยเขาทุกครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เป็นไปได้ไหมนั่นคือสนามพลังของเขา?
เย่ว์หยางตระหนักว่ายังมีความลับอีกมากอยู่ในตัวของเขา
ช่างเถอะ เขาจะค่อยๆ ทำความเข้าใจ
บุรุษผู้มาจากโลกอื่นคร้านจะคิดมากเกินไป เขาเพียงแต่มอบพลังปราณก่อกำเนิดบางส่วนให้นางพญาเฟ่ยเหวินหลี เพื่อที่ว่านางอาจจะฟื้นคืนกำลังและออกมาจากที่นี้ได้
“ถ้าเจ้าต้องการจะใช้สนามพลังของเจ้า ความจริงเป็นเรื่องค่อนข้างง่าย จงพยายามรู้สึกถึงใจของเจ้า รู้สึกถึงพลังที่อยู่ในตัวของเจ้า.. ลองดูสิ!”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีเอนตัวลงนอนในโลงแก้วผลึก ขณะที่นางกระตุ้นให้เย่ว์หยางลองเปิดใช้สนามพลัง
“ก็ได้!”
โดยไม่ต้องให้นางบอกเขา แม้ว่าเย่ว์หยางยังคิดว่าเขายังไม่มีสนามพลังอยู่ภายในตัวเขาก็ตาม
ตอนแรก เย่ว์หยางมีความคิดฟุ้งซ่านมากมายอยู่ในหัว เขาไม่สามารถสงบใจลงได้
เขายังคงไม่สามารถรู้สึกถึงสนามพลังของเขาได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยการชี้แนะของนางพญาเฟ่ยเหวินหลี สอนให้เขาทำตามเหมือนกับเป็นครู เย่ว์หยางค่อยๆ รวบรวมสมาธิและสามารถเข้าไปในดินแดนภายในของเขาได้เป็นครั้งแรกจนได้ เป็นครั้งแรกของเขาที่สามารถเข้ามาติดต่อพลังในกายเขาทั้งที่เขายังตื่นอยู่ เขาสามารถเข้าใจสนามพลังของเขาซึ่งพิเศษสำหรับเขาเพียงคนเดียว
เป็นเหมือนประตูแห่งความรู้บานมหึมา ค่อยๆ เปิดเข้าภายในใจของเขา
เย่ว์หยางผ่านเข้าไปในดินแดนภายในตัวเขา พบพลังที่นับไม่ถ้วนและลึกลับเหมือนแม่น้ำแห่งดวงดาว
พลังที่ใกล้เขาที่สุดก็คือเพลิงอมฤตและวงจักรล้างโลกที่เขาคุ้นเคยกับมัน
ขณะที่พลังที่ห่างเขาที่สุด เย่ว์หยางยังไม่สามารถรู้สึกได้ชัด
เขารู้แต่เพียงว่ามันใหญ่พอๆ กับทางช้างเผือก
เย่ว์หยางพยายามสัมผัสเพลิงอมฤตและวงจักรล้างโลกเป็นครั้งแรก ก่อนที่เขาจะพยายามหยั่งลึกเข้าไป ทันใดนั้นมีพลังลึกลับที่พบการปรากฏตัวของเขา มันดูคล้ายดาวตกยิงตรงมาที่เขา เหมือนกับว่าพยายามจะโจมตีและเข้าไปในร่างเขา..
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางพบว่านั่นเป็นพลังทำลายล้างที่น่ากลัว เขากลัวมากจนตัวเริ่มสั่น ยามนี้ ดูเหมือนมีชีวิตลึกลับออกมาจากร่างของเขา มันอ้าปากและกลืนพลังลึกลับนั้นทั้งหมด
จากนั้นก็เป็นเหมือนดวงดาวระเบิดอยู่ในร่างของเย่ว์หยาง
ในทันใดนั้น พลังลึกลับนั้นกลายเป็นพลังใหม่ในร่างของเย่ว์หยาง มันกลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของสนามพลังของเขา
ยามนี้เย่ว์หยางสามารถรู้สึกถึงความคงอยู่ของสนามพลังของเขาได้ชัดเจนแล้ว
และนั่นคือ “เขมือบ” เป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ามิติหลุมดำเสียอีก
ถ้าเขาสามารถใช้สนามพลัง “เขมือบ” นี้ที่สามารถเขมือบสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ได้ ทำไมเขาจะต้องกังวลเรื่องนิกายพันปีศาจหรือซุ่นเทียนที่อยู่ข้างนอกด้วยเล่า? แม้แต่เย่ว์หยางก็ตกใจกับสนามพลังที่น่ากลัวของตนเช่นกัน
ต่อหน้าต่อตานางพญาเฟ่ยเหวินหลี เย่ว์หยางเข้าไปภายในใจตนขณะที่ร่างของเขาปล่อยเพลิงอมฤตออกมากระทันหัน
เพลิงอมฤตโหมกระหน่ำทันทีและกลายเป็นเสาเพลิงอมฤตขนาดยักษ์ มันแผ่ขยายและทำลายผนึกของมิติหลุมดำทันที จากนั้นก็หายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยเหมือนดวงดาวที่ระเบิด นางพญาเฟ่ยเหวินหลีตกตะลึงพลางพึมพำว่า
“เขาครอบครองสนามพลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้ทันทีที่เขาปลุกมันขึ้นมา... เพลิงอมฤต, วงจักรล้างโลก, พลังดวงดาวของเด็กคนนี้ ยังมีพลังอะไรอื่นที่เด็กคนนี้ครอบครองอยู่อีก?”
“ยิ่งเขาแข็งแกร่งขึ้น, เร็วขึ้น ข้าจะสามารถออกไปจากที่นี้ได้ นี่เป็นเรื่องที่ดี”
นางพญาเฟ่ยเหวินหลีหลับตาและหลับลึกอยู่ในโลงแก้วผลึกอย่างเป็นสุข รอคอยการกลับมาของเย่ว์หยางในครั้งต่อไป
ยามนี้ ภายในมิติประลอง
ว่านฉีซิ่วหลิงทึ้งหัวตนเอง จนแทบจะเหมือนคนบ้า ความจริงเขาต้องการร้องออกมาดังๆ
ศัตรูของเขาหายไป และภายใต้กฎของมิติประลอง เขาไม่สามารถไปจากมิติประลองบ้าๆ นี้ได้
ถ้าคุณชายสามตระกูลเย่ว์ไปจากมิติประลองนี้ อย่างนั้นเขาก็จะต้องติดอยู่ในที่แห่งนี้ตลอดไป... เขาไม่สามารถจินตนาการจุดจบอย่างนั้นได้เลยจริงๆ เมื่อใดก็ตามที่ว่านฉีซิ่วหลิงคิดเรื่องที่เขาต้องอยู่ที่นี่ตามลำพังตลอดชีวิตจนกระทั่งเขาอดตายหรือแก่ตาย เขารู้สึกเหมือนอยากจะฆ่าตัวตาย
สิ่งเดียวที่ห้ามเขามิให้ฆ่าตัวตายก็คือความหวังว่าจะได้เห็นเย่ว์หยางอีกครั้ง
เขารู้สึกว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์ผู้เจ้าเล่ห์นี้ต้องซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง มันอาจเป็นทักษะแฝงหรือความสามารถของอสูรของเขาก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางจะไม่สามารถออกจากที่นี้ก่อนจะฆ่าเขาได้
“แหวนลิชหรือ?”
อสูรทรายที่พลิกค้นแทบจะทุกที่ภายในมิติประลอง ในที่สุดก็พบแหวนลิชที่เย่ว์หยางทิ้งไว้หลังจากเข้าไปในมิติหลุมดำ เมื่อว่านฉีซิ่วหลิงเห็นแหวน เขาก็ยิ่งมั่นใจข้อสันนิษฐานเขามากขึ้น เขาคาดว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์แอบเข้าไปในแหวนลิช อย่างไรก็ตาม แหวนลิช ใช้เก็บวัตถุที่ไม่มีชีวิต เป็นไปได้ไหมว่าคุณชายสามตระกูลเย่ว์ แท้ที่จริงแล้วเป็นผีซอมบี้?
ว่านฉีซิ่วหลิงไม่อาจเข้าใจได้แม้ว่าเขาจะคิดจนหัวแทบระเบิดก็ตาม
ขณะที่เขากำลังสังเกตแหวนลิชและพยายามทำความเข้าใจมัน ทันใดนั้นเสาเพลิงอมฤตยิงออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าเผยให้เห็นเย่ว์หยางที่ปรากฏตัวออกมาเหมือนดาวตก
เขาเปลือยกายล่อนจ้อน ไม่มีผ้าปิดกายสักผืน
เมื่อเขาเห็นการปรากฏตัวของเย่ว์หยาง ว่านฉีซิ่วหลิงเกือบร้องออกมาด้วยความโล่งใจ สวรรค์ ในที่สุดเจ้าเด็กนี่ก็ปรากฏตัวจนได้
ว่านฉีซิ่วหลิงเกรงว่าเย่ว์หยางจะพยายามซ่อนตัวอีก เขาไม่สนใจพยายามปกปิดความสามารถที่แท้จริงอีกต่อไป เขาปลดผนึกพลังปราณก่อกำเนิดระดับ 4 ของเขาทันที จากนั้นปลดปล่อยสนามพลังของเขา
“เด็กน้อย! ไปตายซะเถอะ! ได้ตายในสนามพลังของข้านับว่าไม่เลวสำหรับเจ้า!”
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถโจมตีได้เมื่อเขาพบว่าร่างของคุณชายสามตระกูลเย่ว์ก็ปล่อยสนามพลังออกมาเช่นกันแต่เลือนลาง แต่ว่านฉีซิ่วหลิงถึงกับตกใจ
เจ้าเด็กนี่ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาใช้สนามพลังได้?
เขายังเป็นแค่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 เองไม่ใช่หรือ?
“ข้าควรจะใช้สนามพลังแบบใดดี? ช่างเถอะ ข้าน่าจะใช้ทักษะระเบิดดวงดาวที่ข้าเพิ่งเชี่ยวชาญ!”
เย่ว์หยางพึมพำกับตัวเอง เหมือนกับว่าเขาคิดไม่ตกว่าจะใช้สนามพลังชนิดไหน ว่านฉีซิ่วหลิงแทบจะกระอักเลือด เมื่อได้ยินเขาพูด เขาไม่เคยเห็นตัวประหลาดอย่างเจ้าเด็กนี้มาก่อน เขาจะรอดได้อย่างไร ถ้าต้องสู้กับคนที่มีสนามพลังต่างกัน?
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=303