ตอนที่ 279 ทางเลือกของข้าคือฆ่าพวกเจ้า
เจ้าอ้วนไห่ได้เรียกแรดเหล็กและฮิปโปเพื่อเสริมพลังให้ร่างของเขาแล้ว เย่คงเรียกคิงคองปีศาจและเสริมพลังไว้แล้วได้พุ่งเข้าใส่แมมม็อธทองสายฟ้าร่วมกับด้วงจอมพลังที่ตอนนี้โตเต็มวัยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระดับหรือชั้น ด้วงจอมพลังยังห่างกับแมมม็อธสายฟ้าอยู่มาก
อย่างไรก็ตาม ด้วงจอมพลังมีแต่พลังป้องกันอย่างเดียวล้วนๆ กับเปลือกของมันที่มีความแข็งแกร่งสุดยอดแข็งกว่าเหล็ก ต่อให้มันเผชิญหน้ากับแมมม็อธสายฟ้า มันก็ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ แม้ว่ามันจะโดนแมมม็อธสายฟ้าเล่นงานจนหงายหลัง แต่ด้วงจอมพลังไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มันแค่ชะงักไปเพียงเล็กน้อย
ในท้องฟ้า เย่คงที่เสริมพลังเข้ากับร่างของเขากับคิงคองปีศาจเงื้อพลองยาวฟาดลงมากระแทกใส่หัวของแมมม็อธสายฟ้าอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม เย่คงรู้สึกว่ามีแรงสะท้อนกลับมาแทน แขนของเขาชาไปทั้งแขนขณะที่เขากระเด็นออกไป
ที่ด้านหลัง เจ้าอ้วนไห่ยืมพลังของแรดผิวเหล็กและฮิปโปใช้พลังหมัดฮิปโปดาวตกซัดใส่หลังของแมมม็อธทอง
ความเคลื่อนไหวนี้ไม่มีผลอะไรมาก แต่ก็สร้างความรำคาญให้กับแมมม็อธได้ หางของมันฟาดพลังสายฟ้าใส่เจ้าอ้วนไห่ที่ยังอยู่กลางอากาศ ที่ด้านล่าง พี่น้องตระกูลหลี่ผสานร่างกับมดทหารทองควงดาบและฟันใส่ขาของแมมม็อธทองเหมือนพายุ
เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องตระกูลหลี่ประสานกันโจมตีได้สมบูรณ์แบบ ภายใต้การฝึกโหดของอาจารย์ตาเหยี่ยวเสี่ยโหวเว่ยเลี่ย พวกเขาร่วมกันฆ่าอสูรแข็งแกร่งมานับไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ พวกเขาไม่สามารถทำร้ายแมมม็อธทองที่อยู่ต่อหน้าให้ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ผิวของแมมม็อธทองตัวนี้หนามาก
มันมีพลังชีวิตสูง เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ตกใจมากหลังจากพวกเขาพยายามโจมตีมันพร้อมกัน
“อะไรกันนี่? พลังป้องกันของเจ้าช้างงี่เง่าตัวนี้สูงมากจริงๆ เราไม่สามารถทำร้ายมันได้เลยแม้แต่น้อย”
เจ้าอ้วนไห่รู้สึกว่าเป็นเวลาที่เขาจะต้องแสดงให้เห็นผลของการฝึกลับของเขา มิฉะนั้น ถ้าพวกเขาล้มเหลวในตอนนี้ เขาอาจถูกแมมม็อธทองตัวนี้ย่ำจนเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือนได้
“วิธีนี้อาจมีความหมายมากกว่าเมื่อเราเอาชนะมันได้”
นัยน์ตาของเย่คงมีจิตวิญญาณของนักสู้ลุกโชน
“....”
พี่น้องตระกูลหลี่ไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขายังคงฝึกหนักมาก มากพอๆ กับเย่คงและเจ้าอ้วนไห่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีพลังมากพอๆ กับเย่คงและเจ้าอ้วนไห่ แต่พวกเขาก็มีความก้าวหน้ามากมายเช่นกัน
อีกด้านหนึ่ง ยักษ์ทองตาเดียวพุ่งเข้าโจมตีใส่รถม้า
มันเงื้ออาวุธชั้นทอง ค้อนยักษ์สี่เหลี่ยมที่ดูเหมือนสามารถทุบทำลายทุกอย่างบนพื้นปฐพีได้
ยักษ์ตาเดียวสู้กับออพติมัส ไพร์มและเมกะทรอนที่เย่ว์หยางสร้างขึ้นมา อย่างไรก็ตามสถานะของพวกมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับเย่ว์คงและคนอื่นๆ
ยักษ์ตาเดียวหวดค้อนกระแทกใส่เมกะทรอนและออพติมัส ไพร์ม เหมือนกับว่าต้องการทุบทำลายพวกมันให้แหลกเป็นชิ้นด้วยการหวดครั้งเดียว
ถ้าเป็นอสูรหุ่นอื่นๆ แม้ว่ามันจะเป็นอสูรหุ่นศิลาที่สามารถกระหน่ำใส่ทหารเป็นพันและยันพวกเขาจนถอยกลับได้ พวกมันคงถูกทุบแหลกเป็นชิ้นภายใต้พลังหวดของค้อนไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ค้อนยักษ์ไม่มีผลกับหุ่นชั้นทองแดงระดับ 6 ที่เย่ว์หยางสร้างแม้แต่น้อย
อสูรหุ่นยักษ์ชื่อเหมือนการ์ตูนคอมมิค ออพติมัส ไพร์มและ เมกะทรอน ไม่สามารถใช้ทักษะวิทยายุทธได้ พวกมันเป็นเพียงอสูรหุ่นที่สามารถทำงานหนักได้ พวกมันทำได้แค่เพียงเดิน บรรทุก ลาก ดัน ผลักและกระแทกใส่บางอย่าง
แน่นอนว่าความคิดบ้าๆ ในการเรียนรู้ทักษะต่อสู้และหลบการโจมตีจะมีได้ก็แต่จินตนาการบ้าๆ ของเย่ว์หยางเท่านั้น ในความเป็นจริง นอกจากภูตอัจฉริยะเย่ว์กงจากตระกูลเย่ว์แล้ว ไม่มีผู้ใดประสบความสำเร็จในการสร้างอสูรหุ่นที่สามารถใช้ทักษะและกลยุทธต่อสู้ได้
แม้ว่าเย่ว์หยางจะล้มเหลวในการสร้างอสูรหุ่นที่สามารถใช้ทักษะต่อสู้ได้ แต่เขาก็สร้างผู้รับใช้ไว้สองตัว
แน่นอนว่า ออพติมัส ไพร์มกับเมกะทรอนหุ่นรับใช้ทั้งสองอาจถูกสร้างให้ทำงานต่ำต้อยก็จริง แต่พลังป้องกันที่สูงมากของมันก็เพียงพอทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้าได้แล้ว
เหตุผลก็เพราะเย่ว์หยางเกียจคร้านเกินไป เขาไม่ชอบฝึกให้พวกมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อออพติมัส ไพร์มและเมกะทรอนเป็นเพียงอสูรทองแดงระดับ 6 สำหรับเย่ว์หยางแล้ว เจ้าเศษโลหะเหล่านี้ไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาฝึกให้พวกมัน
ดังนั้น เย่ว์หยางผู้เกียจคร้านจึงติดตั้งอักษรรูนโบราณกับปราณก่อกำเนิดของเขาลงบนตัวออพติมัส ไพร์มและเมกะทรอน นี่เองทำให้อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าท้อใจทุกทีเมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้
อักษรรูนนั้นแปลได้ความว่า “แข็งตลอดกาล”
นอกจากอักษรรูนว่า “แข็งตลอดกาล” แล้ว กล้ามของออพติมัส ไพร์มและเมกะทรอนทั้งสอง เย่ว์หยางยังแกะสลักผิวด้านนอกของพวกมันด้วยอักษรรูนต่างๆ เช่น “ฟื้นฟูอัตโนมัติ” “โลหะรับรู้” และ “ผิวรวงผึ้ง” อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าคิดว่าการแกะสลักอักษรรูน เช่นคำว่า “กระดูกนอก” และ “ผิวรวงผึ้ง” ลงบนร่างจักรกลของอสูรหุ่นเป็นเรื่องตลกที่สุดในโลก ทำไมอสูรโลหะถึงต้องการกระดูกด้วย? ความจริง กระดูกอาจจะรับรู้สึกได้เล็กน้อย แต่ทำไมพวกมันถึงการผิวด้วย? เป็นไปได้ไหมว่าเจ้านักเรียนไตตันกำลังฝันจะแปลงหุ่นยักษ์ 10 เมตรเหล่านี้ให้เป็นผู้รับใช้ยักษ์สาวแสนสวยด้วยหรือ?
แน่นอนว่าอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าไม่เข้าใจแม้แต่น้อย แต่หลังจากเขาพยายามโจมตีพวกมันเล็กน้อย เขาก็เข้าใจถึงความไม่ธรรมดาของเย่ว์หยาง
กลับกลายเป็นว่าเย่ว์หยางติดตั้งเปลือกแข็งของแมลงให้หุ่นรับใช้ทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีผิวรวงผึ้งที่สามารถทนต่อแรงกระแทกและอุณหภูมิสูงได้ ด้วยการผสานอักษรรูนทั้งสอง พลังป้องกันของหุ่นรับใช้ทั้งสองนี้กลับสูงส่งจนทำให้ศัตรูสิ้นหวัง
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ารู้สึกว่าเขาไม่มีทางทำลายหุ่นรับใช้ทั้งสองตัวนี้ได้ แม้ว่าเขาจะโจมตีพวกมันเป็นเวลาสามวันสามคืน
สิ่งที่ทำให้เขาคลั่งจนแทบกระอักเลือดจริงๆ ก็คือเจ้าหุ่นรับใช้ทั้งสองนี้ยังคงมีทักษะซ่อมอัตโนมัติ
ทั้งนี้เป็นเพราะกล้ามของมันคือ แข็งตลาดกาล
นอกจากทำลายพลังของอักษรรูนโบราณแล้ว ไม่มีใครสามารถทำลายเจ้าหุ่นรับใช้ทั้งสองนี้ที่สมองกลวงแต่อึดไร้ขีดจำกัดได้
ยักษ์ทองตาเดียวเงื้อค้อนยักษ์หวดเข้าใส่ออพติมัส ไพร์มและเมกะทรอนจนเกิดประกายไฟกระจายไปทั่วบริเวณ เสียงปะทะดังแสบแก้วหู แต่หุ่นรับใช้ทั้งสองดูเหมือนจะไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลย พูดให้ถูกก็คือ หรือพูดให้ถูกมากกว่าก็คือ ทุกครั้งที่พวกมันได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย พวกมันก็ฟื้นคืนสภาพได้เร็ว ยักษ์ทองตาเดียวถึงกับตะลึงงัน เมื่อมันยกค้อนเหลี่ยมอย่างโง่งมและใช้สายตาที่ว่างเปล่ามองดูหุ่นรับใช้ทั้งสอง อสูรหุ่นที่ตั้งชื่อด้วยแรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ ออพติมัส ไพร์มและเมกะทรอนซึ่งไม่มีฝีมือในการต่อสู้เลย อยู่ๆ พวกมันก็ผลักเจ้ายักษ์ตาเดียวจนล้ม
แน่นอนว่า มันไม่ผลักให้ล้มเพื่อปลุกปล้ำเหมือนที่เย่ว์หยางทำกับหญิงงามอู๋เหิน
นี่เป็นแค่การผลักให้ล้มธรรมดๆ หุ่นรับใช้ทั้งสองผลักยักษ์ตาเดียวจนล้มได้อย่างง่ายดาย จากนั้นพวกมันก็เริ่มกระทืบใส่ยักษ์ตาเดียวด้วยพลังของมันทั้งหมด ความคิดของพวกมันนั้นแสนจะง่าย แค่ผลักวัตถุที่ขัดขวางหรือกีดขวางให้ล้มลงกับพื้น อย่างเช่นพวกกำแพงจากนั้นก็ย่ำให้แบนติดพื้น แล้วค่อยลากรถม้าต่อไป
แน่นอนว่าพวกมันทำตามกระบวนความคิดที่เย่ว์หยางตั้งโปรแกรมเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นกำแพงหรือยักษ์ทองตาเดียว พวกมันจะผลักให้ล้มและย่ำให้ราบติดกับพื้น
ยักษ์ตาเดียวที่น่าสงสารได้แต่ร้องครวญครางภายใต้การย่ำของเท้าเหล็กทั้งสี่อย่างเมามัน
ฮุยไท่หลางยังไม่ได้ร่วมสู้ด้วย
คำสั่งที่เย่ว์หยางมอบให้มันก็คือเฝ้าอยู่หน้ารถม้าและปกป้องนายหญิง
ถ้ายักษ์ทองตาเดียวกล้าเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อีกนิดเดียวและเข้ามาในพื้นที่ๆ มันปกป้อง อย่างนั้นมันจะโจมตีแน่นอน แต่ขณะนี้ มันได้แต่อ้าปากกว้างหาวและนอนลง มันรู้สึกเบื่อเพราะไม่มีศัตรูให้มันแกล้งบ้าง
อสูรทองระดับ 6 เป็นคู่ต่อสู้ที่ยากเกินไปสำหรับเย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่น
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของฮุยไท่หลาง อสูรชั้นทองระดับ 6 คืออะไร? มันจำไม่ได้ว่ามันกินสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าอสูรทองระดับ 6 มามากเท่าใดแล้ว มันกินแม้กระทั่งนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง อสูรชั้นทองจะเท่าไหร่กันเชียวเมื่อเทียบกับนักสู้นั้น สิ่งเดียวที่ฮุยไท่หลางมองหาก็คือร่างของจ้าวปีศาจ เย่ว์หยางพูดกับฮุยไท่หลางหลายครั้งแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่ง แต่มันต้องมีความทะเยอทะยานสูงเข้าไว้ อย่างน้อยมันควรพยายามกินจ้าวปีศาจให้ได้
ดังนั้น ความปรารถนาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฮุยไท่หลางก็คือกินจ้าวปีศาจให้ได้
อีกด้านหนึ่ง ไคหยางจากกลุ่มพันธมิตรนักสู้เจ็ดดาวกำลังสู้กับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
ตอนเรก เขาคิดว่าเขาสามารถฆ่านักดาบหญิงผู้งดงามคนนี้ได้ทันที นางไม่ได้เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดด้วยซ้ำ ใครจะคิดกันว่าพอเมื่อเริ่มต่อสู้ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถฆ่านางได้ทันทีเท่านั้น แต่เขา นักสู้ปราณก่อกำเนิดยังเกือบบาดเจ็บจากการบุกใส่ขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
ไคหยางรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ ที่ต้องสู้กับนาง
นอกจากได้จ้องมองคุณชายสามตระกูลเย่ว์ได้เพียงครั้งเดียว ความรู้สึกถูกคุกคามยิ่งมาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นในใจของไคหยาง ทำให้เขาไม่สามารถมีสมาธิในการต่อสู้ได้ นอกจากนี้เขายังรำคาญที่จะต่อสู้กับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เมื่อเขาปล่อยพลังสุดยอดที่สามารถฆ่าศัตรูเขาได้ทันที องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็จะเรียกคัมภีร์ออกมากางโล่พลังป้องกันไว้ ไคหยางไม่มีพลังมากขนาดคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ผู้สร้างธนูน้ำแข็งได้ ดังนั้นเขาไม่สามารถทำลายการป้องกันขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนได้เลย ตั้งแต่เขาใช้พลังสูงสุดโดยเปล่าประโยชน์ เขาจึงตัดสินใจสู้โดยใช้พลังธรรมดา พลังหมัด เตะของนักสู้ปราณก่อกำเนิดก็ยังทรงพลังอยู่ดี ไม่ใช่การโจมตีที่คนผู้ไม่มีพลังปราณก่อกำเนิดจะต้านรับได้เลย
อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักได้โดยเร็วว่าความจริงเขาพบกับอัจฉริยะยอดฝีมือเสียแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฟังคำแนะนำของเย่ว์หยาง และเรียนรู้วิธีเกาะกุมจุดอ่อนของศัตรู องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเป็นยอดฝีมือในการบุกจู่โจมศัตรูที่ข้อต่อและแก่นกลางต่อเนื่องไล่ทุบไคหยางจนเขาแทบบ้า
การโจมตีขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแบ่งเป็นสองระดับ
ระดับแรกนางโจมตีที่แกนกลางของไคหยางที่เมื่อใดก็ตามที่เขาเคลื่อนไหว รุกไล่จนเขาไม่อาจโจมตีโต้ตอบได้
ขั้นที่สองก็คือป้องกันตัวเองด้วยโล่ป้องกันของนางที่จะบังการโจมตีของไคหยางให้ผ่านไป มิฉะนั้น นางก็จะหลบจากนั้นโจมตีตอบโต้เมื่อศัตรูของนางอ่อนแรงที่สุดหลังจากที่เขาเริ่มบุกจู่โจม ด้วยการโจมตีทั้งสองรูปแบบนี้ ไคหยางไม่สามารถใช้พลังตนได้ถึง 10% ของพลังตนเอง นี่ทำให้เขาผิดหวังจนถึงที่สุดจริงๆ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่รุกคืบก่อน เนื่องจากความอดทน นางพยายามยั่วให้ศัตรูโกรธในขณะเดียวกัน และทำให้เขาสูญเสียพลังงาน ความจริงองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยังมีท่าร้ายกาจมากที่เย่ว์หยางคิดว่านางเคยใช้มาก่อน..
ขณะเดียวกันนี้เอง ภายในรถม้า เจ้าเมืองโล่วฮัวสะสมพลังแสงอุษาของนางรอการเคลื่อนไหวโจมตีที่เหมาะสม นางเตรียมร่วมสู้กับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและจะเอาชนะนักสู้ปราณก่อกำเนิดในกลุ่มพันธมิตรเจ็ดดาวอย่างไคหยางนี้ให้ได้
พวกนางมีแผนสู้เป็นของตนเอง พวกนางไม่จำเป็นต้องให้เย่ว์หยางช่วย พวกนางต้องการประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง
ตอนนี้ พวกนางยังไม่ใช่นักสู้ปราณก่อกำเนิด แต่ตราบใดที่พวกนางบรรลุขอบเขตแดนปราณก่อกำเนิด พวกนางจะช่วยเหลือเย่ว์หยางได้อย่างมากแน่นอน
“สหายน้อยที่น่าสนใจ”
นักสู้ปราณก่อกำเนิดนามซุ่นเทียนหยุดห่างในระยะร้อยเมตร นี่คือระยะที่เขารู้สึกปลอดภัยที่สุด แม้เย่ว์หยางจะเป็นแค่ผู้เยาว์ แต่เขาก็ระมัดระวังมากที่จะไม่ดูถูกศัตรูของเขา ซุ่นเทียนมองดูเย่ว์หยางที่มีสีหน้าไร้อารมณ์และยิ้มให้เล็กน้อย เขาต้อนรับเย่ว์หยาง
“คุณชายสามตระกูลเย่ว์ เจ้าน่าจะใช้เวลาสักครู่พิจารณาเพื่อเข้าร่วมกับเรา ข้ากล้าพูดได้เลยว่าตราบใดที่เจ้าเห็นด้วย เจ้าสามารถเป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตรเจ็ดดาวได้เลย สำหรับปราสาทตระกูลเย่ว์ เจ้าไม่คิดว่าเรื่องราวในทวีปมังกรทะยานจะน่าเบื่อเกินไปหรือ? ถ้าเจ้าชอบ ข้าสามารถให้ทวีปที่ใหญ่กว่าทวีปมังกรทะยานแก่เจ้าก็ได้ ในชั้นที่หกหอทงเทียนและที่เหนือกว่า เจ้าจะสามารถทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการในแผ่นดินในดินแดนภายนอก ไม่มีใครจะมาหยุดหรือจำกัดเจ้าได้ ตราบใดที่เจ้าเห็นด้วย ข้าจะแนะนำเย่ว์ชิวให้ยกเลิกคำสั่งจับเจ้า ขอให้เขาคืนดีกับเจ้าและแบ่งความลับของตำหนักหุ่นของตระกูลเย่ว์ให้”
“ก่อนนี้ เหยากวงผู้นั้นก็หลงคารมของเจ้าใช่ไหม? เจ้าเป็นคนขอให้เขาเดินทางสู่ความตายใช่ไหม?”
คำพูดของเย่ว์หยางทำให้ไคหยางที่กำลังสู้กับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนโกรธจัด จนร่างสั่นรุนแรง
“ความจริง ข้าต้องการข้ออ้างอย่างหนึ่ง”
ซุ่นเทียนไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับยิ้มแทน
“ในทวีปมังกรทะยาน นักสู้ปราณก่อกำเนิดจะต้องปฏิบัติตามสัญญาพันธมิตรปราณก่อกำเนิด เราไม่สามารถเริ่มต้นโจมตีได้ง่ายนัก มิฉะนั้นจื่อจุนหรือนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่นๆจะมีเหตุผลฆ่าเรา ข้าไม่ต้องการให้คนอื่นยกขึ้นเป็นข้ออ้าง แม้ว่าไม่มีใครรู้ว่าจื่อจุน, ผู้เฒ่าหนานกงและคนอื่นๆ สามารถกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ แต่ข้าก็มีนิสัยระมัดระวังอยู่แล้ว ถ้าความตายของสหายเราคนหนึ่งจะสามารถไถ่บาปให้ข้าได้ ข้าก็ไม่สนใจถือสาเลย เนื่องจากเจ้าฆ่าเหยากวง ข้าก็มีเหตุผลที่จะล้างแค้น คุณชายสามตระกูลเย่ว์ เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าคิดว่าข้าคงไม่มีทางพูดให้เจ้าเข้าใจได้อีกต่อไป ระหว่างเรา มีทางเลือกเพียงสองทาง หนึ่งเป็นสหาย หรือสอง เป็นศัตรู เจ้าเลือกเอาเอง”
“ข้าเลือกทางที่สามที่ข้าตัดสินใจด้วยตัวเอง”
เย่ว์หยางยกดาบฮุยจินขณะที่ดวงตาฉายแววอำมหิตเพิ่มขึ้น จากนั้นเขาตะโกนว่า
“และนั่นก็คือ ฆ่าพวกเจ้า”
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=299