ตอนที่ 5 -- มหาเวทย์
ตอนที่ 5 ------ มหาเวทย์
เมฆสีดำเริ่มก่อตัวขึ้นด้านบน
ฝนเริ่มตกลง พร้อมกับลมที่พัดมา
“ผมอยากจะจบเรื่องนี้ก่อนที่พายุจะมา”
”
ตอนนี้้มีระยะห่างไกลมากระหว่างพวกโจรกับผม
เวทย์ที่ผมใช้ก่อนหน้านี้ ‘แบล็คช็อต’ เป็นเวทย์รูปแบบ ‘บอล’ เวอร์ชั่นที่ปรับให้ยิงเร็ว
เวทย์สายท้องฟ้านั้นเน้นความเร็วเป็นหลัก แต่อย่างที่เคยพูดไป แม้ว่ามันจะยิงเวทย์ได้เร็วแต่ก็ยังสามารถหลบได้อยู่ดี ดังนั้นผมต้องใช้อย่างระมัดระวัง
ผมจัดการสองคนนั้นได้เพราะว่าพวกมันกำลังประมาท
พวกโจรได้กระจายตัวออกไปทั้งทางซ้ายและทางขวา, พวกมันเว้นระยะห่างในขณะที่เล็งธนูมาที่ผม
เมื่อมีคู่ต่อสู้เป็นนักเวทย์ พวกมันจึงสู้กับผมด้วยการโจมตีระยะไกลหรืออีกวิธีหนึ่งคือพุ่งเข้าโจมตีผมโดยตรง โดยยอมเสียสละคนบางส่วน
แน่นอน พวกมันเลือกอย่างแรก
อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่ผมคาดว่าพวกมันจะทำ, เมื่อเป็นไปตาที่คาดไว้ ผมก็ยิงเรดเวฟออกก่อนที่พวกมันจะ
กระจายตัวออกไปไกลกว่านี้
-เวทย์ระยะไกลพื้นฐานสายสีแดง: เรดเวฟ (Red Wave - คลื่นสีแดง)
มันคือเวทย์ที่จะยิงอากาศร้อนออกไปอย่างต่อเนื่อง และทำความเสียหายเวทย์เล็กน้อย
แม้ว่ามันจะเป็นเวทย์ระดับต่ำ แต่มันก็มีประโยชน์ในสถานการณ์ต่างๆ ขึ้นอยู่กับวิธีใช้ มันจะไปรบกวนสมาธิหรือ… หยุดการเคลื่อนไหว
ลมร้อนแผ่ไปทั่วบริเวณ แล้วเผาเส้นผมของพวกโจร
“ฮิ~ฮิ๊~น!”
”
ทันทีที่สัมผัสถูกอากาศร้อนอย่างนั้น ผมก็ไม่แปลกใจเลยที่พวกมันจะตอบสนองกันแบบนั้น
พวกโจรที่ขี่ม้าถูกเผาและหยุดเคลื่อนที่
เวทย์ของผมยังไม่ได้แข็งแกร่งถึงจุดนั้น ผมจึงไม่สามารถฆ่าพวกมันจากต่ำแหน่งนี้ได้
ถ้าเวทย์ของผมสามารถจัดการพวกมันได้สักคนหนึ่ง มันจะกลายเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากกับอีกสามคนที่เหลือ โดยเฉพาะเมื่อพวกมันเริ่มระแวดระวังผม
โอ้อืม…. แค่ฆ่าพวกมันทั้งหมดในครั้งเดียวก็พอนี่นา
“ช่วยไม่ได้แฮะ ต้องใช้มหาเวทย์”
”
ฝนที่ตกลงมาอยู่ก่อนแล้ว ราวกับจะตอบรับสิ่งที่ผมพูด
ตอนนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม
ผมรวบรวมพลังเวทย์ทั้งหมดในร่างมาไว้ที่มือแล้วเริ่มกล่าวคำร่าย
“ข้าขอวิงวอนต่อเหล่าภูต จงแผดเสียงราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ คำรามราวกับสายฟ้าฟาด กวาดล้างศัครูที่ข้ามองเห็นด้วยโทสะแห่งสวรรค์!”
”
“แบล็คธันเดอร์! (Black Thunder - อัศนีทมิฬ)”
”
เสียงฟ้าแลบดังออกมาจากกลุ่มเมฆสีดำที่กำลังปกคลุมทั่วท้องฟ้า แล้วผ่าลงมาใส่พวกมันในทันที
แสงที่ส่องสว่างกลืนกินทุกอย่างที่ผมมองเห็น แล้วเสียงฟ้าผ่าค่อยดังขึ้นหลังจากนั้นเล็กน้อย
ที่ๆพวกโจรเคยยืนอยู่นั้นไม่เหลืออะไรเลยนอกจากกลุ่มก้อนฝุ่นละอองมหึมาที่กำลังลอยอยู่บนอากาศ แล้วถูกฝนและสายลมพัดพาไปอย่างรวดเร็ว
ผมรู้สึกได้ถึงค่าประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น ผมจึงคิดว่าพวกมันน่าจะถูกกำจัดทั้งหมดแล้ว
หลังจากที่ฝุ่นละอองหยุดฟุ้งกระจาย ผมก็เดินเข้าไปตรวจสอบบริเวณที่ฟ้าผ่าลงมา
พื้นบริเวณที่สายฟ้าฟาดลงกลายเป็นหลุม ดินบริเวณนั้นถูกเผาจนกลายเป็นสีดำและพวกโจรได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลมหายใจของผมหนักอึ้ง, แม้ว่าผมรู้สึกราวกับจะสลบ แต่ผมจำเป็นต้องประคองสติไว้ให้นานที่สุด
เมื่อใช้พลังเวทย์มากเกินไป จะทำให้เกิดภาระอย่างมากกับร่างของผู้ใช้
พลังเวทย์ที่ใช้ในการร่ายมหาเวทย์นั้นมหาศาล
ตอนนี้ น่าจะเป็นเพราะผมใช้พลังเวทย์เกินขีดจำกัดของตัวเอง จนมันหมดลงอย่างสมบูรณ์
ผมนั่งลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
-การเข้าฌาณ
ผมว่าตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย
มหาเวทย์สายท้องฟ้า: แบล็คธันเดอร์
แม้ว่าพลังเวทย์ที่ใช้ในการร่ายจะน้อยกว่าเมื่อเทียบกับมหาเวทย์อื่นๆ แต่ความจริงที่ว่ามันสามารถร่ายเวทย์นี้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่มีเมฆเท่านั้น ทำให้เวทย์นี้มีข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวง แต่ถ้าคุณถามผม…
ก็ลองมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเวทย์ถูกร่ายลงมาสิ มันเป็นการโจมตีที่ทรงพลังจริงๆ
ถึงมันใช้ก็จริง แต่สิ่งที่หลงเหลือมีเพียงเสียงคำรามของเวทย์อันยิ่งใหญ่เท่านั้น
ผมเข้าฌาณอย่างต่อเนื่องในขณะที่คิดเรื่องพวกนั้น
เข้าฌาณ
เข้าฌาณ
เข้าฌาณ
หลังจากเข้าฌาณเป็นเวลานาน พลังเวทย์ของผมก็ฟื้นฟูขึ้นมาพอสมควร ผมไม่คิดว่าตัวเองพร้อมที่จะสลบแล้ว แต่ผมยังคงรู้สึกไม่สบายอยู่
เมื่อผมหันกลับไปมองที่กองคาราวาน ก็เห็นชายค่อนข้างอ้วนกำลังจ้องมาที่ผม
ผมว่าผมคงทำเป้าหมายเดิมลุล่วงแล้ว
ผมหันกลับไปยังร่างของเด็กสาวแล้วพนมมือขึ้นภาวนา
หลังจากนั้นผมก็หันไปมองรอบๆแล้วเดินตรงไปทางกองคาราวาน
“เยี่ยมจริงๆ! เจ้าช่วยพวกเราไว้! อายุแค่นี้แต่กลับสามารถใช้เวทย์ที่ทรงพลังขนาดนั้นได้ ยอดเยี่ยมมาก!”
”
ชายวัยกลางคนที่มัดหนวดรุงรังชมผม
บางทีเขาคงจะเป็นหัวหน้ากองคาราวานก็ได้, เขาอาจจะรู้สึกแปลกๆที่ต้องขอความช่วยเหลือจากเด็กอย่างผม
ยังไงซะ พลังก็คือสิ่งที่ควบคุมโลกใบนี้อยู่ดี คุณต้องปฏิบัติต่อคนที่แข็งแกร่งกว่าด้วยความเคาระ จะได้ไม่ถือเป็นการทำให้ขุ่นเคือง
และชายคนนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องนั้นเป็นอย่างดี
“ข้าช่างโชคดีจริงๆ หากเป็นข้าที่ต้องสู้กับพวกมัน ข้าคงต้องตายแน่ๆ ข้าขอขอบคุณเจ้าจริงๆ!”
”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก พลังของผมยังไม่ดีพอ แม้แต่เด็กสาวคนนั้นผมก็ไม่สามารถช่วยไว้ได้”
”
แต่เจ้าก็สามารถหลีกเลี่ยงกรณีเลวร้ายที่สุดได้ และด้วยเหตุนั้น แสดงว่าข้ายังมีโชคอยู่!”
แต่ผมไม่คิดว่าเขาโชคดีหรอก
เอาล่ะ ตอนนี้ได้เวลาเก็บเกี่ยวรางวัลแล้ว
“ยังไงก็ตามตอนนี้ คุณบาดเจ็บอะไรรึเปล่า? ผมเป็นนักเวทย์ แต่เพราะว่าผมไม่มีไอเท็มเวทย์มนต์ ผมเลยไม่สามารถรักษาคุณได้….!”
”
เมื่อได้รู้ความต้องการจากคำพูดของผม หัวหน้ากองคาราวานก็มองมาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
บ้าจริง ผมพูดตรงเกินไปหรอ? ท่าจะไม่ดีแล้ว การเจรจาเป็นสิ่งที่ผมไม่ถนัดเลยในชีวิตก่อน
แต่แล้วใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มในทันที
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่า, ใช่ แบบนี้นี่เอง, คำพูดขอบคุณนั้นไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่เจ้าได้ทำไว้, แน่นอน ข้ามีของบางอย่างจะให้เจ้า”
”
ผมว่าผมนี่โชคดีจริงๆที่ยังมีรูปร่างเป็นเด็กอยู่, มันคงจะเป็นเรื่องหยาบคายที่จะทักท้วงสิ่งที่ผมพูดไป แต่ผมว่าผมน่าจะได้อะไรบ้างนะ
ผมไม่เคยอ่านความคิดคนอื่นออกเลยตั้งแต่สมัยก่อน
“แต่ตอนนี้ข้าไม่สามารถเตรียมของรางวัลจริงๆจังๆให้เจ้าได้ เพราะว่ากองคาราวานของข้าเป็นแบบนี้ไปแล้ว หลังจากกลับเข้าเมืองแล้ว เจ้าค่อยมาหาข้าพรุ่งนี้ได้ไหม?”
”
“ตกลง”
”
ผมได้อาศัยรถม้าไปด้วย ผู้คนที่พึ่งถูกโจมตีก่อนหน้านี้ ปฏิบัติต่อผมราวกับวีระบุรุษผู้น่าเกรงขามในเทพนิยาย
ถ้าผมไม่ได้ผ่านมาทางนี้ล่ะก็ อาจจะมีผู้รับเคราะห์มากกว่านี้ก็ได้, บางทีอาจจะมีครอบครัวของเด็กสาวคนนั้นอยู่ด้วยก็ได้
ไม่ ไม่มีทางเป็นแบบนั้น ผมเห็นผู้คนถูกความตายพรากจากกันมาหลายครั้ง
ถึงจะเป็นเรื่องเศร้าแค่มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
หลักจากที่พวกเรากลับถึงเมืองแล้วก็แยกทางกัน ผมตรงกลับบ้าน
แสงภายในบ้านยังคงเปิดอยู่ แม้ว่าท้องฟ้าจะมืดมากแล้วก็ตาม
แน่นอน…. แม่น่าจะยังตื่อนรอเทศนาผมเป็นชั่วโมงๆอีกครั้ง
ในขณะที่ผมกำลังจินตนาการว่าแม่จะทำหน้าอย่างไร หลังจากที่ผมเข้าไป บางทีเพราะว่าผมรู้สึกเหนื่อยอย่างมาก ผมก็เลยเดินเอาหัวโขกประตูโดยไม่ตั้งใจ
==========
อุทิศให้คุณพ่อยุทธนา ศิริพัฒนานันทกูร
==========
ติดตามผลงานได้ที่ https://www.facebook.com/RachanTranslations/