ตอนที่ 1 -- ปฐมบท
ตอนที่ 1 ------ ปฐมบท
สมาพันธ์จอมเวทย์
เนื่องด้วยนักเวทย์จำนวนมากมารวมตัวกัน, ผมซึ่งถูกอาบไปด้วยคำสรรเสริญนั้นอยู่ใจกลางเสียงปรบมือ
“จอมเวทย์เซฟ ไอน์สไตน์, เพื่อเป็นการเคารพสรรเสริญต่อเวทย์มนต์ที่แข็งแกร่งของเจ้า, พวกเราขอมอบฉายาของจอมเวทย์สีแดงที่เก่งกาจที่สุด ‘เฟลมออฟเฟลม’(Flame of Flame - เพลิงแห่งอัคคี)”
”
“ฮ่ะฮ่ะ, ขอบคุณ”
”
“จงพยายามต่อไป เพื่อไม่ทำให้อับอายต่อฉายานี้”
”
ผมเป็นตาแก่ไปแล้วตอนนี้, แต่ อา นั่นก็ยังเป็นผม-
จอมเวทย์ผู้ถือครองฉายาที่สูงส่งที่สุดในสายสีแดง ‘เฟลมออฟเฟลม’
ตั้งแต่เด็ก ผมมักหลงใหลในเวทย์สีแดง นี่คือสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ผมต้องการ เพื่อมาให้ไกลได้ขนาดนี้ ด้วยการฝึกฝนอย่างยากลำบาก
ผมอุทิศตนให้กับเวทย์มนต์วันแล้ววันเล่า ไวน์, ผู้หญิง, เงินตรา และสิ่งล่อลวงต่างๆในโลกใบนี้ไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับการเรียนเวทย์สีแดงของผม
มันเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด ผมเดินลงจากเวทีในขณะที่ลดมือลง ความเงียบเข้าปกคลุม เหลือเพียงสายตาของเหล่านักเวทย์หนุ่มสาวที่จับจ้องมา
แล้วก็ทุบกำปั้นลง
คนดังผู้เร่าร้อน
มันดูไม่เหมือนการปองร้าย
มันคือการสรรเสริญ ที่กล่าวด้วยความปิติยินดี
และการถูกดูถูกเหยียดหยาม หรือถูกข่มเหงโดยเหล่าคนเขลานั่นทำให้ผมเติบโตขึ้น
นั่นทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ผมจะร่วมดื่มด่ำไปกับสิ่งนี้ แด่ความก้าวหน้า!
“ผมจะตั้งเป้าให้สูงยิ่งกว่านี้! ในฐานะเฟลมออฟเฟลม ผมจะก้าวขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุด!”
”
ว้าววววววว!!
ภายในกระแสแห่งเสียงเชียร์และเสียงปรบมือ ผมชูมือขวาขึ้น
*แชะแชะแชะแชะ* เสียงของเครื่องถ่ายภาพเวทย์มนต์ขนาดจิ๋วก็ดังออกมา
คำกล่าวนี้ได้แพร่สะพัดผ่านทางหนังสือพิมพ์ที่สมาพันธ์นักเวทย์แจกจ่าย ซึ่งตีพิมพ์ออกไปทั่วทั้งทวีป, ปีนี้จะเป็นปีที่พูดถึงจอมเวทย์คนใหม่
-ปีต่อมา
ผมเข้าไปเยี่ยมสมาพันธ์นักเวทย์เพราะเวทย์มนต์ใหม่ที่มีชื่อว่า สเกาท์สโคป(Scout Scope)
มันเป็นเวทย์ที่ใช้วัดค่าพรสวรรค์หรือความสามารถแฝงของนักเวทย์ และทำให้รู้ว่าเวทย์มนต์สายไหนเหมาะกับตนเอง
ปกติแล้ว ‘เวทย์มนต์’ สามารถแบ่งออกเป็นห้าสายหลักและสายย่อย
[สีแดง]
เวทย์ไฟซึ่งเป็นเวทย์ที่เด่นในเรื่องการโจมตี พลังของมันถือว่ามีมากที่สุดในเวทย์ทั้งห้าสาย
[สีน้ำเงิน]
เวทย์น้ำที่เด่นในเรื่องการสนับสนุน และ การรบกวน เวทย์ที่มีผลต่างๆสามารถเรียนได้จากเวทย์สายนี้, และเป็นเรื่องบังเอิญที่ สเกาท์สโคปเองก็เป็นเวทย์ย่อยของสายสีน้ำเงินเช่นกัน
[สีเขียว]
เวทย์ที่เข้ากันได้กับโลกและอวกาศ, หากฝึกฝนดีๆล่ะก็ มันก็เป็นไปได้ที่จะควบคุมทั้งภูมิประเทศและช่องมิติ, แม้เวทย์สายนี้จะไม่หลากหลายเท่าไหร่ แต่มันก็ทรงพลังมาก
[ท้องฟ้า]
เวทย์มนต์ที่สามารถรบกวนบรรยากาศ ทำให้มีโอกาสที่จะควบคุม ลมและสายฟ้าได้, ลักษณะของเวทย์สายแปลกประหลาดนี้ ทำให้มันเป็นสายที่ทรงพลัง แต่ก็ควบคุมได้ยาก
[วิญญาณ]
เวทย์ของเทพและปีศาจ, ว่ากันว่าหากฝึกฝนมัน ก็จะสามารถส่งสารไปยังเทพหรือปีศาจได้… ก็มีนักเวทย์ที่ฝึกสายนี้อยู่ไม่มาก จึงไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่
นี่คือเวทย์ทั้งห้าสาย หรืออย่างน้อยก็เป็นเวทย์ห้าสายหลักที่นักเวทย์ส่วนใหญ่ฝึกกัน
ตัวผมนั้นเชี่ยวชาญเวทย์สีแดง
การวัดความสามารถของคนด้วยสเกาท์สโคป แน่นอนว่าผมรู้สึกสนใจ, มันเป็นเรื่องดีที่จะได้แสดงให้นักเวทย์คนอื่นเห็น
แม้ว่าคนอื่นไม่สามารถใช้เวทย์ได้อย่างชำนาญ แต่ผมชำนาญมันอย่างแน่นอน แล้วใช้มันกับตัวเอง
ผลลัพธ์ของจอมเวทย์สายสีแดงที่เก่งที่สุด ‘เฟลมออฟเฟลม’ คือ…
เซฟ ไอน์สไตน์
เลเวล 99
เวทย์ [สีแดง] เลเวล : 62/62
เวทย์ [สีน้ำเงิน] เลเวล : 49/87
เวทย์ [สีเขียว] เลเวล : 22/99
เวทย์ [ท้องฟ้า] เลเวล : 22/89
เวทย์ [วิญญาณ] เลเวล : 19/97
เอ๋…?
ตาของผมแทบจะถลนออกมา
จอมเวทย์สีแดงที่เก่งที่สุด… มีพรสวรรค์ด้านเวทย์สีแดงต่ำที่สุด
บ้าน่า!?
แม้ว่าผมจะตรวจสอบอีกกี่ครั้ง… ตัวเลขที่แสดงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
‘เลเวล’ เป็นความคิดที่มีมานมนานแล้ว ในทางตรงกันข้าม มันมีโอกาสที่จะพัฒนาขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่ในตอนท้าย เลเวลก็จะหยุดเพิ่มขึ้นและการพัฒนาก็จะหยุดลง, นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ขีดจำกัดพรสวรรค์’ ถือเป็นจุดยุติการฝึกฝน
ตัวผมนั้น รู้สึกได้ถึงขีดจำกัดของการพัฒนามานานแล้ว
เมื่อถึงเลเวล 99 คุณก็จะเริ่มคิดถึงสิ่งพวกนี้
แต่เวทย์ที่ใช้ยากอย่างเวทย์ [สีเขียว] หรือ [วิญญาณ] เป็นเวทย์ที่ผมมีความสามารถแฝงมากที่สุดจริงดิ?
คนอื่นๆอาจไม่ต้องฝึกฝนหนักอย่างผม แต่กลับมีความสามารถแฝนของเวทย์สีแดงมากกว่าผมอย่างง่ายดาย
นี่มันผิดพลาดแล้ว
ผมไม่ได้เป็นตาแก่มาตลอด… ผมเองก็เคยเป็นเด็กเหมือนกัน
ไม่น่า… ผมไม่สมควรจะได้รับผลลัพธ์แบบนี้
ยิ่งเรียนรู้เวทย์มนต์นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งคิดได้ว่ามันใกล้จะถึงจุดสุดท้ายเร็วขึ้นเท่านั้น
ผลของการฝึกฝนและการวิจัยของผมไม่มีทางโกหก ผมยอมตายดีกว่าจะปล่อยให้มันจบลงแบบนี้!
แต่ผมจะไม่ยอมตาย! แม้ว่าผมจะรู้สึกได้ว่าภายในใจได้ตายไปแล้ว…
แล้วนักเวทย์สายสีแดงอีกคนที่มีค่าพรสวรรค์สูงกว่าก็เอาฉายา เฟลมออฟเฟลม ไปจากผม
ขีดจำกัดของผมคือ 62 ในขณะที่ของมันคือ 99
สมาพันธ์นักเวทย์บอกว่า เลเวลความสามารถแฝงของผมต่ำเกินไป จนไม่มีค่าพอที่จะใช้ ฉายานั่น
ผมไม่อาจกล่าวแย้งอะไรได้เลย
ในเมื่อผมเอื้อมถึงจุดสูงสุดของขีดจำกัดพรสวรรค์ของตนแล้ว มันก็ถึงเวลาสำหรับนักเวทย์หนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่จะเปล่งประกาย…
และได้รับฉายาของผมไป….
แม้เขาจะมีพรสวรรค์คู่ควรกับมัน แต่ในเมื่อเขาไม่มีประสบการณ์การต่อสู้เลย มันก็ไม่มีทางที่ผมจะแพ้เจ้าเด็กพรรค์นั้น…
ผมเข้าใจเรื่องนั้นดี ถึงแม้พวกเขาจะไม่เข้าใจก็ตาม
แต่ผมไม่ยอมแพ้หรอก ผมจะต้องก้าวไปในเส้นทางแห่งนักเวทย์ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ผมพยายามดิ้นรน ต่อสู้ เพื่อจบความเจ็บปวดจากการฝึกให้เร็วขึ้น แม้แต่หนึ่งวินาทีก็ยังดี
และในปากเหวแห่งความตาย ในที่สุดผมก็ได้สร้างเวทย์ใหม่ขึ้นมา
ผมใช้เวลาอยู่หลายปีรอแล้วรอเล่า เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยเวทย์ที่ตราตรึงไว้ในร่างกายนี้
ไทม์ลีป (Time Leap - ย้อนเวลา)
วิญญาณของผมออกจากร่าง ท่องผ่านห้วงเวลาแล้วกลับมายังอดีต
แต่มันเป็นเวทย์ที่ยังไม่สมบูรณ์ มีเพียงความรู้เท่านั้นที่ส่งผ่านกลับไปได้ และผมต้องฝึกฝนเวทย์ใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง
แต่โชคดีที่ผมชอบการฝึกเวทย์
แต่ก็ไม่เสมอไป ใช่แล้ว ผมไม่รู้ว่าเวทย์นี้จะพาผมย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาไหน แต่ครั้งนี้ ผมจะใช้ข้อได้เปรียบจากความรู้และสเกาท์สโคปอย่างเต็มที่แน่นอน
สติของผมหายไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างกลายเป็นสีขาว
แล้ว….
“เซฟ ลูกไปโรงเรียนสายแล้วนะ! ลุกขึ้นมา!”
”
เตียงสีขาว เสียงของแม่ และกลิ่นของซุปมิโซะ
ร่างของผมกลับกลายเป็นเด็ก
ผมกลับมาในช่วงเวลาที่ดีมาก
ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างผม
แต่มันก็ลำบากเวลาขยับร่างกาย
พูดตามตรง ผมไม่คิดว่ามันจะไปได้สวยขนาดนี้
มันเป็นเรื่องดีที่สามารถพูดได้ว่า เป็นการประสบความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม
ผมชี้นิ้วชี้ไปยังหน้าต่าง แล้วปล่อยพลังเวทย์ออกมาเพื่อใช้เวทย์เริ่มต้นของสายสีแดง เรดบอล(Red Ball - บอลแดง)
แต่มันไม่ทำงาน
“บ้าน่า…”
”
ผมพยายามเพ่งสมาธิไปที่ร่างตัวเอง แล้วก็พบว่าพลังเวทย์ที่ควรจะแล่นผ่านเส้นมนตรานั้น ไม่ตอบสนองดีเท่าที่ควร
ผมต้องซ่อมเจ้านี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้, ลืมเรื่องขีดจำกัดพรรสวรรค์ไปก่อน นักเวทย์ที่ใช้เวทย์ไม่ได้ ไม่ถือเป็นนักเวทย์
...แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกหิวแล้ว
“อ๊ะ ผมกำลังไปครับ แม่!”
”
เมื่อผมวิ่งลงบันไดมา เห็นใบหน้าของแม่เป็นครั้งแรก ผมก็ร้องไห้ออกมาทันที
แม่เห็นคราบน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าก็หัวเราะอย่างอ่อนโยน
รอยยิ้มที่ชวนให้คิดถึง ผมไม่อาจหยุดไม่ให้น้ำตาไหลออกมาได้
“เป็นอะไรไปเซฟ? ลูกฝันร้ายหรอ?”
”
“เปล่าครับ...ผมแค่...รู้สึกดีใจ…”
”
“เด็กพิลึก”
”
ผมผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่จนเป็นตาแก่ นั้นเข้าใจถึงความเจ็บปวดเรื่องความสำคัญของเวลา
ผมไม่อาจเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว, ผมจะต้องฝึกเวทย์ของตัวเองให้มีประสิทธิภาพให้ได้ในครั้งนี้
ผมปาดน้ำตาออก แล้วในตอนที่ผมชิมอาหารฝีมือแม่เป็นครั้งแรก ผมก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
==========
อุทิศให้คุณพ่อยุทธนา ศิริพัฒนานันทกูร
==========
ติดตามผลงานได้ที่ https://www.facebook.com/RachanTranslations/