ตอนที่ 261 ชัยชนะและพันธมิตร
“ไม่, ไม่!”
แม่ทัพปีศาจเก้าหัวร้องออกมาอย่างน่าสมเพช
เขารู้ถึงความน่ากลัวของเพลิงอมฤต แต่เขาไม่เคยคิดว่าเขาผู้มีพลังเพิ่มขึ้นจนถึงปราณก่อกำเนิดระดับ 4 ก็ยังไม่สามารถต้านทานได้
เมื่อเขาเห็นเพลิงอมฤตที่ยิ่งใหญ่รวมสภาพเป็นหอกยาวพุ่งผ่านหน้าอกของเขา เขารู้ได้ว่าอยู่ในช่วงขอบเหวแห่งความตาย เขาร่ำร้องในใจด้วยความสิ้นหวัง
ทันใดนั้นเขาอ้าปากของศีรษะยักษ์แล้วพ่นเม็ดพลังที่เขาใช้พลังทั้งตัวกลั่นขึ้นมาพุ่งใส่เย่ว์หยาง คิดว่าจะยอมตายพร้อมกันกับเขา หญิงงามอมโรคอู๋เหินเทเลพอร์ตมาหาเย่ว์หยางทันที นางยืมทักษะเทเลพอร์ตของหญิงงามลึกลับอู๋เสียหายตัววับมาอยู่ที่ข้างขวาเย่ว์หยางใช้โล่แก้วของนางป้องกันโดยไม่ต้องคิด
เม็ดพลังมังกรปล่อยพลังประกายแสงระเบิดที่รุนแรงพุ่งใส่โล่แก้วผลึก
ในทันใดนั้นเมื่อเม็ดพลังมังกรพุ่งชนโล่แก้วที่แข็งแกร่ง ปรากฏรอยร้าวลามไปทั่วโล่แก้วผลึก อักขระรูนสีเงินบนโล่แก้วค่อยๆ จางหายไปภายใต้แรงกระแทกอย่างรุนแรงของเม็ดพลังมังกร
โล่แก้วผลึกยังคงตั้งอยู่ได้
แต่มีรูเล็กๆ รูหนึ่งปรากฏบนโล่
เม็ดพลังมังกรที่ทะลุโล่แก้วผลึกมีความเร็วตกลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม มันยังคงพุ่งหาเย่ว์หยางต่อไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า
หญิงงามอมโรคอู๋เหินหมุนตัวเข้าหาเย่ว์หยางแล้วกอดเขาไว้แน่นทันที เตรียมใช้ร่างของนางและเกราะแก้วผลึกป้องกันเย่ว์หยางจากเม็ดพลังมังกรที่คุกคามชีวิตอยู่นี้
“โง่จัง!”
เย่ว์หยางตกใจกับการกระทำของนาง
เขาเอื้อมแขนแล้วกอดนางแทนและหมุนตัวฉากออกข้างหลบพ้นเม็ดพลังมังกรได้ทัน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถทนต่อการโจมตีได้ ใครบอกว่าพวกเขาจะมิอาจหลบได้เล่า? เย่ว์หยางไม่ใช่คนบ้าบิ่นที่จะยอมรับการโจมตีทุกอย่าง เกี่ยวกับการโจมตีด้วยเม็ดพลังของแม่ทัพปีศาจเก้าหัว เย่ว์หยางคาดการณ์ไว้อยู่ก่อนแล้ว เขาให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษตั้งแต่เขาเห็นแม่ทัพปีศาจเก้าหัวโจมตีใส่อสูรตาทองแล้ว
เขาคาดไม่ถึงว่าอู๋เหินจะเทเลพอร์ตมาอยู่ข้างเขาและป้องกันการจู่โจมให้เขา แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่ยอมให้ผู้หญิงที่เขาชอบต้องมาเสี่ยงชีวิตมาปกป้องเขา ขืนทำแบบนั้นก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตที่น่าเศร้าเท่านั้น
เม็ดพลังมังกรเฉียดแขนเย่ว์หยางพุ่งผ่านคนทั้งสองไป
พอเห็นว่าการโจมตีของเขาล้มเหลว เจอแต่ความว่างเปล่า แม่ทัพปีศาจเก้าหัวควบคุมเม็ดพลังของเขาให้เลี้ยวกลับและพุ่งโจมตีใส่เย่ว์หยางที่กำลังกอดหญิงงามอู๋เหินอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะควบคุมเม็ดพลังมังกรของเขาได้เต็มที่ แต่ภายใต้ความเร็วรุนแรงอย่างนั้น เขาไม่สามารถทำให้มันหันกลับมาทันทีได้ เม็ดพลังมังกรบินวนห่างออกไปสิบเมตรก่อนที่ความเร็วของมันจะชะลอลงเล็กน้อยและเปลี่ยนทิศพุ่งตรงเข้าหาเย่ว์หยาง
เวลานี้ เย่ว์หยางมีเวลาพอจะตอบโต้แล้ว เขาดึงหอกเพลิงอมฤตออกมาจากตัวของแม่ทัพปีศาจเก้าหัว แล้วเปลี่ยนสภาพเพลิงอมฤตให้กลายเป็นโล่เพลิงอมฤตและตั้งวางไว้ข้างหน้าตัวเขา
เมื่อเม็ดพลังมังกรพุ่งชนโล่เพลิงอมฤต พลังของมันหายวับไปทันทีเหมือนกับหิมะที่หล่นใส่ภูเขาไฟร้อน ความเร็วของมันลดลงทันที และสิ่งปนเปื้อน, ความคิดชั่วร้าย, ปราณมารและความปรารถนาของแม่ทัพปีศาจเก้าหัวที่แฝงอยู่ภายในเม็ดพลังถูกเผาจนหมดสิ้น เหลือแต่พลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุดอยู่ในเม็ดพลัง
“อ๊าค.....”
แม่ทัพปีศาจเก้าหัวกลิ้งตัวลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดทรมานอย่างหนัก
เขาเจ็บปวดอยู่แล้วจากแผลถูกทำร้ายด้วยหอกเพลิงอมฤตบนร่างเขา และยังตอบโต้โดยควบคุมเม็ดพลังมังกรก่อนที่มันจะถูกเพลิงอมฤตชำระ นี่ทำให้แม่ทัพปีศาจเก้าหัวรู้สึกเจ็บปวดทรมานเหมือนตกนรกขุมที่สิบแปด
เขายอมตายดีกว่าต้องประสบกับความเจ็บปวดถูกเพลิงอมฤตเผาผลาญ
ไม่ใช่แค่เพียงร่างเนื้อของเขาเท่านั้น แม้แต่วิญญาณและจิตของเขาก็จะถูกเพลิงอมฤตทำลายโดยสิ้นเชิง
เมื่อเย่ว์หยางปล่อยเพลิงอมฤตครั้งที่สาม เม็ดพลังมังกรที่แต่เดิมมีขนาดกำปั้นถูกกลั่นเป็นเม็ดพลังที่บริสุทธิ์ไม่ได้มีขนาดใหญ่กว่าไข่มุก อีกด้านหนึ่ง แม่ทัพปีศาจเก้าหัวผู้ล้มลงอยู่บนพื้น ยังมีลมหายใจรวยริน เขายังไม่ตาย แต่เขาทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก ทั้งนี้เป็นเพราะเม็ดพลังและจิตของเขาเป็นหนึ่งเดียวกับร่าง เมื่อเย่ว์หยางทำลายเม็ดพลังของเขา ก็เท่ากับว่าทำลายจิตเขาไปด้วย
การสูญเสียเม็ดพลังของเขา ทำให้แม่ทัพปีศาจเก้าหัวไม่อยู่ในสภาวะนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 3 ต่อไป พลังของเขายังคงลดลงและในที่สุดก็หลุดออกจากเขตแดนปราณก่อกำเนิด ก่อนที่เขาจะตายในที่สุด
ไกลออกไป ขุนพลเผ่าปีศาจซือเตียวที่ยังทุกข์ทรมานบาดเจ็บสาหัสขาทั้งสองข้างมิอาจใช้ได้ ขนาดผู้มีพลังมากประสบการณ์อย่างแม่ทัพปีศาจเก้าหัวยังถูกเด็กมนุษย์ที่เป็นเพียงนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับ 1 ฆ่าตายได้
สิ่งที่ทำให้จิตใจของขุนพลปีศาจซือเตียวหวาดหวั่นก็คือ เมื่อเจ้าเด็กมนุษย์ผู้น่ากลัวยิ่งกว่าจ้าวปีศาจเรียกเด็กผู้หญิงผู้มีมงกุฏดอกไม้อยู่บนศีรษะนาง ทันทีที่เด็กผู้หญิงผู้ดูบริสุทธิ์ไม่มีความชั่วร้ายโบกมือของนาง เถาวัลย์ยักษ์ก็แทงจากดินโผล่ขึ้นมา และดอกไม้ยักษ์ที่มีปากใหญ่พอจะกลืนแมมม็อธยักษ์ได้ทั้งตัวได้กินศพของแม่ทัพปีศาจเก้าหัวในคำเดียว
“เจ้ายังกินนี่ไม่ได้ ข้ามีบางอย่างจะต้องจัดการนาง”
เย่ว์หยางห้ามปีศาจดอกหนามเมื่อนางคิดจะกินอสูรคะนองตาทอง
“....”
ปีศาจดอกหนามยังคงพูดไม่ได้ แต่นางมีปัญญาพอที่จะแสดงความคิดตนเองแล้ว นางชี้ไปที่ขุนพลปีศาจซือเตียวทำนองถามว่า
“ข้ากินผู้นี้ได้ไหม?”
“ไม่, ไม่ อย่า!”
ขุนพลเผ่าปีศาจซือเตียวรู้แล้วว่า เด็กผู้หญิงที่ดูไร้เดียงสานี้ ไม่พ่นกระดูกออกมาแม้เวลากินเหยื่อของนาง นางคือนางพญาดอกหนามมงกุฏทองที่ได้รับการกล่าวขานว่าสร้างความพินาศให้ปีศาจและจัดการจ้าวปีศาจคุกโลหิตได้ถึงสองตน บางทีเด็กผู้หญิงนี้ยังไม่ถึงระดับนางพญาดอกหนามมงกุฎทอง แต่ก็ใกล้เต็มทีแล้ว ดูจากที่นางกลืนร่างแม่ทัพปีศาจเก้าหัวได้สบายๆ นางคงกลืนขุนพลซือเตียวได้ไม่มีปัญหา
ขุนพลเผ่าปีศาจซือเตียวไม่กลัวถูกคุมขังโดยศัตรูของนาง เพราะศัตรูของนางอย่างมากก็ทรมานร่างนาง นางไม่ใส่ใจเรื่องนั้น
นางไม่เพียงแต่ครอบครองพลังฟื้นฟูที่แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจบูรพาเท่านั้น แต่นางยังมีพละกำลังไม่จำกัดด้วย ไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บแค่ไหน นางก็จะฟื้นคืนสภาพได้ถ้ามีเวลาพอรักษา
ตราบใดที่นางสามารถเอาชีวิตรอดออกไปได้ ก็ยังคงมีหวังสำหรับนาง
นางจะพึ่งพาทักษะตามธรรมชาติของนาง “กลิ่นกำจาย” และ “ความเร็วสายฟ้า” ของนางหลบหนีไป
ปีศาจดอกหนามเมินเฉยต่อการอ้อนวอนขอความเมตตาของขุนพลเผ่าปีศาจซือเตียว ในใจของนางคิดว่าศัตรูของเจ้านายทุกคนคืออาหาร ตราบใดที่พวกเขามีรสชาติดี นางก็จะกินให้หมดไม่ว่าเป็นหรือตาย
หญิงงามทั้งสี่พูดไม่ออกเล็กน้อยเมื่อเห็นปีศาจดอกหนามนี้กินคนได้ทั้งเป็น
แน่นอนว่า พวกนางไม่ได้มีความคิดแบบเก่าเหมือนพวกที่แสดงความเมตตากับศัตรู นั่นเท่ากับว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง เกี่ยวกับการแสดงความเมตตากับขุนพลปีศาจซือเตียว ทั้งสี่สาวเบือนหน้าหนีจากนางแสร้งเป็นเหมือนว่าไม่เห็นอะไร
เมื่อซือเตียวเห็นว่าหญิงสาวทั้งสี่นางเบือนหน้าหนี สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที นางอ้อนวอนขอความเมตตาถึง 2-3 ครั้งแล้วจึงกลิ้งตัวกับพื้นกลายร่างเป็นหมาไม้ยักษ์ มันอ้าปากกว้างและพ่นควันหนาทึบใส่ปีศาจดอกหนาม จากนั้นหนีเอาตัวรอดไปตามทางผ่านโบราณ
ต้นดอกหนามนับไม่ถ้วนแตกหน่อออกมาจากพื้น
ไม่ว่าหมาไม้ยักษ์จะเร็วแค่ไหน แต่ก็เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ต้นดอกหนามพันรอบตัวของหมาไม้ยักษ์เหมือนกับงูยักษ์พันห่อรอบตัวนางแน่นจนเหมือนซาลาเปาไม่ให้นางมีโอกาสขยับเขยื้อน บนท้องฟ้า อาหมันเงื้อโล่ราชสีห์ทองแล้วฟาดลงมาเต็มแรง โล่ราชสีห์ทองกระแทกใส่ศีรษะของหมาไม้ยักษ์ หมาไม้ยักษ์ทรมานจากอาการบาดเจ็บหนักอยู่แต่แรกแล้ว เมื่อโดนฟาดอย่างหนัก หัวของนางแตกทันที พร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวด นางหมดสติทันที
ในใจของโคเงา นางต้องการใช้พลังของนางทั้งหมดเพื่อเจ้านายของนาง
นางไม่สนใจว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี มนุษย์หรือปีศาจ
ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
ลำต้นรองรูปมนุษย์ที่สูงเกินสิบเมตร กางแขนและคว้าร่างของหมาไม้มาไว้ในอ้อมกอด เถานับไม่ถ้วนพันรอบร่างไว้ด้วยกัน ภายในนั้นคือเหยื่อของมัน
ตั้งแต่นางได้เข้ามาในทางผ่านโบราณ ปีศาจดอกหนามมีความสุขยิ่งกว่าเด็กน้อยที่ได้ฉลองวันเกิด ทั้งนี้เพราะหลังจากได้กินหลิวเฮ่อและตวนมู่แล้ว นางยังมีโอกาสได้กินนักสู้ระดับปราณก่อกำเนิด สำหรับนาง เผ่าพันธุ์ไม่ถือว่ามีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์, ปีศาจหรือเผ่าปีศาจบูรพา ตราบใดที่พวกเขาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด พวกเขาทุกคนถือเป็นอาหารเลิศรสชั้นหนึ่ง
“เจ้าแน่ใจนะว่าจะปล่อยอสูรคะนองตาทองไป?”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกว่าต้องมีเหตุผลที่เย่ว์หยางยอมปล่อยเขาไป
“ถ้าเราไม่ปล่อยเขาไป ความเข้าใจผิดระหว่างมนุษย์กับเผ่าปีศาจบูรพาก็จะเกิดขึ้นจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่อสูรตาทองผู้นี้พูดด้วย กษัตริย์เผ่าปีศาจบูรพาไม่สนใจจะรุกรานทวีปมังกรทะยานแม้แต่น้อย เขาเพียงต้องการเปลี่ยนความสัมพันธ์อย่างบุคคลนอกที่เขามีกับพันธมิตรปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์ บางทีเขาต้องการร่วมมือเพื่อพิชิตหอทงเทียนชั้นที่สิบ หรือบางทีเขาต้องการความช่วยเหลือให้ช่วยพิชิตพื้นที่บางแห่ง ข้าต้องการถามดูก่อนและต้องแน่ใจในเป้าหมายของกษัตริย์เผ่าปีศาจเสียก่อนที่จะตัดสินใจอีกครั้ง”
เย่ว์หยางคิดว่าถ้ากษัตริย์เผ่าปีศาจบูรพาต้องการรุกรานทวีปมังกรทะยานจริงๆ เขาคงไม่ส่งคนมาลักพาตัวผู้มีฝีมือในทวีปมังกรทะยาน เขาสามารถสังหารพวกเขาได้ทั้งหมด ทำไมเขาต้องทำเรื่องยืดเยื้อและลักพาตัวพวกเขาไปเล่า?
“นั่นฟังดูสมเหตุสมผล อสูรคะนองตาทองเป็นตัวเล่นสำคัญในบทนี้แน่นอน”
อู๋เสียเห็นด้วยกับมุมมองของเย่ว์หยาง
เจ้าเมืองโล่วฮัวเพิ่งจะได้พูด เมื่อนางตระหนักว่าเด็กของนางกลับมาแล้ว นางไม่ใส่ใจการพูดคุยเหตุเรื่องความเป็นความตายของอสูรคะนองตาทอง แต่นางยินดีที่จิ้งจอกหิมะสามหางกลับมาแล้ว
จิ้งจอกหิมะสามหางดูตื่นเต้นเล็กน้อยขณะที่มันนำร่างหมาไม้สายฟ้าที่ตายแล้วกลับมา ในการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์เดียวกัน มันฉลาดกว่าและได้รับชัยชนะในที่สุด
พอเห็นเจ้านายของมันต้อนรับด้วยความตื่นเต้น จิ้งจอกหิมะสามหางวางเหยื่อของมันทันทีและกระโดดไปอยู่ในอ้อมกอดของเจ้านายมันอย่างมีความสุข
หางที่มีขนยาวนุ่มของมันกระดิกไปมาไม่หยุด
พอเห็นว่าเจ้าเมืองโล่วฮัวและจิ้งจอกหิมะสามหางสนิทกันขนาดไหน เสี่ยวเหวินหลีจึงกอดเอวเย่ว์หยางบ้าง เธอเอาหน้าสีกับตัวเย่ว์หยางเลียนแบบที่จิ้งจอกสามหางทำกับเจ้าเมืองโล่วฮัว เมื่อปีศาจดอกหนามเพิ่งจะกินหัวเหว่ยเสร็จเห็นเสี่ยวเหวินหลีกอดเย่ว์หยาง นางรีบกระโจนเข้ามาหาเย่ว์หยางทันที เย่ว์หยางรีบเรียกนางกลับเข้าไปอยู่ในคัมภีร์เงินทันที
ปีศาจดอกหนามและโคเงาทั้งคู่ยังไม่ได้ย้ายบ้าน บางทีพวกนางไม่ได้มีปัญญาอย่างที่นางพญากระหายเลือดมี ดังนั้นพวกนางยังคงอยู่ในคัมภีร์เงินต่อไป
เทียบกับครั้งหลังสุด มีความแตกต่างก็คือว่าหลังจากได้รับปัญญาสูงส่งเพียงพอแล้ว ตราบใดที่เย่ว์หยางยังเชื่อมโยงความต้องการอยู่กับพวกนาง พวกนางไม่จำเป็นต้องให้เย่ว์หยางเปิดคัมภีร์อัญเชิญก็ได้ พวกนางจะออกมาเองเหมือนอย่างนางพญากระหายเลือดเมื่อครั้งล่าสุด
เมื่ออสูรคะนองตาทองฟื้นขึ้น เขาตระหนักได้ว่าเย่ว์หยางและสี่สาวยังคงอยู่ในทางผ่านโบราณ
แม่ทัพปีศาจเก้าหัวและศัตรูที่แข็งแกร่งทั้งหมดหายไปโดยไม่เหลือร่องรอย
เขามองไปรอบๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ และในที่สุดเมื่อเขาแน่ใจว่าปลอดภัย เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตราบใดที่เด็กหนุ่มน้อยลึกลับผู้นี้ชนะ เขาก็ยังมีหวังที่จะกลับไปพบกับเจ้าเหนือหัวของเขา จากนั้นเขาสามารถรายงานพระองค์เกี่ยวกับแผนสมรู้ร่วมคิดระหว่างกษัตริย์เผ่าปีศาจแดนใต้และมนุษย์ผู้หักหลัง เมื่อเขาทำใจได้แล้ว
เขาพยักหน้าให้เย่ว์หยางทันทีก่อนจะลุกขึ้นนั่ง แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บและไม่สามารถแสดงมารยาทได้ แต่เขาก็ยังเลียนแบบมนุษย์ประสานมือแสดงความขอบคุณ
“ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือ ถ้าท่านไม่ถือสา ท่านสามารถตามข้าไปพบฝ่าบาท พระองค์รักคนมีพรสวรรค์อย่างท่าน พระองค์จะพระราชทานรางวัลแก่พวกท่านทุกคนแน่นอน”
เย่ว์หยางจะไม่ไปพบกษัตริย์เผ่าปีศาจได้ง่ายๆ แน่นอน พวกเขาจะทำยังไง ถ้ากษัตริย์เผ่าปีศาจตัดสินใจแสดงความเป็นมิตรต่อพวกเขาทันที?
ถ้ากษัตริย์เผ่าปีศาจไม่ได้ต่างจากจ้าวปีศาจ อย่างนั้นเขาคงมีเรื่องปวดหัวจริงๆ
ถ้ากษัตริย์เผ่าปีศาจคือพญาอินทรีปีกทองในตำนานจริงๆ อย่างที่พวกเขาเห็นในภาพแกะสลัก การไปพบเขาก็เท่ากับเสนอตนเองไปเป็นของว่าง
“กษัตริย์ของท่านเป็นเผ่าพันธุ์อะไร?”
เย่ว์หยางถามหยั่งเชิง
“กษัตริย์ของเราเป็นเผ่าพันธุ์มังกร นามว่า”มังกรจักรพรรดิ“เป็นเผ่าพันธุ์จากหอทงเทียนชั้นเก้า พระองค์คือหนึ่งในห้าจักรพรรดิกทงเทียนร่วมกับจื่อจุนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์และนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งอย่างมากอีกสามคน ฝ่าบาทต้องการยืมกองกำลังเพื่อตลุยผ่านหอทงเทียนชั้นสิบและเข้าสู่หอทงเทียนชั้นที่สิบเอ็ดเพื่อตามหาเผ่าพันธุ์ภูตบูรพาในตำนานและก่อตั้งเป็นพันธมิตรกับพวกเขา ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งมีสัมพันธ์ที่มั่นคง อย่างไรก็ตามจื่อจุนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเจ้า นางมีความภูมิใจและเหินห่าง นางมักคัดค้านความคิดร่วมมือกับกษัตริย์ของเรา พันธมิตรปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์เคยเป็นศัตรูของเผ่าปีศาจบูรพามาแต่ก่อน ดังนั้นเราจึงตัดสัมพันธ์กันมาหลายปี กษัตริย์ของเราต้องการใช้โอกาสนี้ต้อนรับจักรพรรดิจุนอู๋โหย่วและนักรบคนอื่นๆ เพื่ออธิบายสิ่งเดียว ก็คือพระองค์หวังว่าพระองค์จะสามารถแก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหมดแต่ก่อนและฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งระหว่างสองเผ่าพันธุ์”
อสูรคะนองตาทองมอบจี้เหล็กห้อยเอวสีดำให้ มันเป็นเครื่องยืนยันสถานะของเขา
เย่ว์หยางไม่เข้าใจความหมายของจี้ห้อยเอวเหล็กสีดำนี้ แต่พอได้ยินว่ากษัตริย์เผ่าปีศาจบูรพาไม่ใช่พญาอินทรีปีกทองบนภาพแกะสลัก เขาถอนหายใจโล่งอกทันที
คำพูดนี้ของอสูรคะนองตาทองฟังดูมีเหตุผลมาก เย่ว์หยางรู้สึกว่าไม่เกินจริงเลย
แน่นอนว่าเขายังคงตื่นตัว เขารู้สึกว่ากษัตริย์เผ่าปีศาจบูรพาพยายามจะทดสอบความคิดของพันธมิตรปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์และจื่อจุน ถ้ามนุษย์ยังคงแข็งแกร่ง อย่างนั้นพวกเขาจะทำงานร่วมกันต่อไปได้ ถ้าพวกเขาไม่สู้เพื่อจุนอู๋โหย่วและคนอื่นๆ เขาอาจจะไม่ยอมรับนับถือจุนอู๋โหย่วเลยก็ได้
“จักรพรรดิมังกรของท่าน พระองค์จะคืนพระบิดาข้าและนักรบชาวมนุษย์ผู้แข็งแกร่งได้เมื่อไหร่?”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่สนใจคิดยอกย้อนในเวลานี้ นางต้องการข้อสรุปตรงๆ
“ข้าไม่ทราบ ข้าไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องได้สำหรับเรื่องนี้ บางทีอาจเป็นเวลาไม่กี่วัน หรืออาจจะดูแลพวกเขาไว้สักเดือนหรือมากกว่านั้น แต่ข้าสามารถรับรองกับท่านได้ว่ากษัตริย์ของเราไม่มีความตั้งใจจะทำร้ายมนุษย์อย่างพวกท่านแน่นอน ในทางตรงกันข้าม เราหวังว่าจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งในฐานะพันธมิตรกัน”
อสูรตาทองพูดตามตรง องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้รู้สึกถึงสัญญาณคำโกหกในน้ำเสียงของเขา ดังนั้นนางพยักหน้าช้าๆ
“จักรพรรดิมังกรของท่าน ทำไมพระองค์ไม่เลือกนักรบที่แข็งแกร่งอื่นๆ เป็นพันธมิตรเล่า?”
หญิงงามลึกลับอู๋เสียถามทันที
“ทั้งนี้เพราะเผ่าปีศาจบูรพาและเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน เราแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตในแดนอเวจีและต่างจากเผ่าพันธุ์ในหอทงเทียน อาจจะกล่าวได้ว่าบรรพบุรุษของเราเป็นเผ่าภูตบูรพา..ในหอทงเทียนนั่นเอง มีครอบครัวสาขาเล็กๆ ของเผ่าภูตบูรพาที่มีความสัมพันธ์สนิทกับนักรบปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์ พวกเขาเพียงยอมรับว่าพวกเขาเป็นทายาทสืบสายจากภูตบูรพา แต่พวกเขาปฏิเสธข้อเสนอที่จะเป็นพันธมิตรกับพวกเรา”
เมื่ออสูรคะนองตาทองพูดเช่นนี้ เย่ว์หยางและสี่สาวก็จำอะไรได้บางอย่าง
เมื่อผู้เฒ่าหนานกงปรากฏตัวในวันก่อนนั้น เขาพาสตรีมากับเขาด้วยสองนาง ทั้งสองนางเป็นสาวมังกรจากเผ่าภูตบูรพา
ดูเหมือนว่าพวกนางเป็นตระกูลสาขาที่อสูรคะนองตาทองพูดถึง
เย่ว์หยางเชื่อมโยงข้อมูลที่เขาได้รับอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ พูดว่า
“แม้ว่าข้าจะไม่อาจเปลี่ยนใจจื่อจุนได้ แต่ถ้าจักรพรรดิมังกรของท่านต้องการจะทำงานร่วมกับเรา ข้าอยากจะยื่นข้อเสนอ เงื่อนไขก็คือว่าพวกท่านต้องปล่อยคนของเราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้ากษัตริย์ของท่านต้องการจะร่วมมือกับเรา พระองค์สามารถส่งคนมาหารือเรื่องนี้ได้ มันเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้ที่ใช้วิธีป่าเถื่อนบังคับเพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ แล้วท่านจะต้องส่งคนไปเท่าไหร่ถึงจะผ่านด่านหอทงเทียนชั้นสิบได้?”
พอพูดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว เย่ว์หยางไม่ได้ต้องการจะร่วมมือกับเผ่าปีศาจบูรพาจริงๆ เขาแค่เพียงหยั่งดูว่าเผ่าปีศาจบูรพามีความแข็งแกร่งเพียงไร
เขาคาดว่าเผ่าปีศาจบูรพาจะแข็งแกร่งกว่าพันธมิตรปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์ แต่ความแตกต่างกันคงจะไม่มาก มิฉะนั้น เขาคงไม่ต้องการเป็นพันธมิตรกับนักสู้ปราณก่อกำเนิดชาวมนุษย์
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อื่นอีก ตัวอย่างเช่น หนึ่งในเงื่อนไขของการผ่านด่านหอทงเทียนชั้นที่สิบมีนักสู้ปราณก่อกำเนิดอยู่ในกลุ่ม หรือมีจื่อจุนเป็นผู้คุ้มกัน ในกรณีที่เขาประเมินพลังของเผ่าปีศาจบูรพาได้ก่อน เย่ว์หยางรู้สึกว่าถ้าเผ่าปีศาจบูรพาจะไม่แข็งแกร่ง อย่างนั้นพวกเขาก็สามารถทำงานร่วมกันได้ มีสหายเพิ่มขึ้นดีกว่าก่อศัตรูเพิ่ม
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=281