ตอนที่ 250 ได้เวลาแสดงพลังที่แท้จริง
ทางผ่านโบราณ
ในทางผ่านโบราณขนาดยักษ์นี้ ถ้ามนุษย์คนหนึ่งเหลียวมองรอบๆ ก็จะพบว่าตนเองนั้นเล็กกระจ้อยร่อยทันที
ที่สุดทางผ่านนั้นไม่สามารถมองเห็นได้ และส่วนกว้างส่วนสูงก็มีมากกว่าหลายร้อยเมตร บนผนังของทางผ่านโบราณนี้ ด้านหนึ่งสามารถมองเห็นถ้ำหลายคูหาที่กว้างขวางพอๆ กับสนามกีฬาแข่งขันอยู่บนผนังถ้ำ
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าถ้ำเหล่านั้นใช้เพื่ออะไร ทุกๆ ระยะ 2-3 เมตรจะมีแก้วผลึกฝังอยู่ในผนังเปล่งแสงออกมาเล็กน้อยพอให้ความสว่างแก่ทางผ่านโบราณ ทางผ่านโบราณนั้นใหญ่โตมากและเส้นทางก็ไม่สม่ำเสมอ บางครั้งก็เป็นเนินสูง บางคราก็เป็นที่ยุบตัวที่เกิดจากก้อนหินยักษ์บดทับต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
ทางผ่านโบราณนั้นไม่ได้เป็นทางตรง บ่อยครั้งที่ต้องเลี้ยวซ้ายและขวาเหมือนกับงูเลื้อย
สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางต้องตื่นตัวก็คือบนผนังของทางผ่านโบราณนั้นมีรูปแกะสลักอยู่ทุกแห่งหน
“ทุกคน! รอสักครู่ มาดูรูปสลักเหล่านี้สิ...”
เย่ว์หยางมีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที บางทีรูปแกะสลักบนผนังเหล่านี้อาจเป็นเบาะแสบางอย่างได้ เขารีบชี้ส่งสัญญาณให้ทั้งสี่นางหยุด
รูปแกะสลักเหล่านั้นดูคล้ายกับรูปที่เย่ว์หยางเคยเห็นในห้องโถงด้านหลังของวิหารสิบสองนักษัตรในหอทงเทียน แต่ใหญ่กว่ามาก รูปสลักเทพเทวาเกือบทั้งหมดสูงหลายเมตรหรืออาจเป็นร้อยเมตร
วงเวทอักษรรูนลึกลับและสัญลักษณ์ชนิดต่างๆ ประดับอยู่บนผนังเหมือนกับเป็นดวงดาวประดับท้องฟ้า
เห็นได้ลางๆ เหมือนกับว่ามันเชื่อมถึงกันและกัน
อย่างไรก็ตาม ก็ก่อให้เกิดปริศนาสับสนมากมายและยากจะไขกระจ่างได้ ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกคุ้นเคยเท่านั้น
บนผนังบางส่วนยังคงสลักเป็นรูปอสูรชนิดต่างๆ อสูรส่วนใหญ่ไม่มีในทวีปมังกรทะยาน แม้แต่พี่น้องอู๋เสียและอู๋เหินผู้มีความรู้มากที่สุดก็ยังไม่รู้จักอสูรเหล่านี้
นอกจากนี้ยังมีรูปสลักมนุษย์อยู่บนผนัง แต่พอเทียบกับมนุษย์จริงๆ แล้ว มนุษย์ก็เหมือนกับเม็ดข้าว มนุษย์ดูเหมือนจะอ่อนแอ มีคำอธิบายว่าเป็นพวกที่ไม่มีความสำคัญ เย่ว์หยางยังพบว่ามีรูปแกะสลักของสมาชิกเผ่าปีศาจบูรพาทำสงครามใหญ่กับเผ่าปีศาจอื่นอยู่บนผนัง ขณะที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปอีกเล็กน้อย
เย่ว์หยางจึงพบอสูรคะนองตาทอง, อสูรหมีเหี้ยมหาญ, อสูรเสือดาวและสมาชิกเผ่าปีศาจบูรพาคนอื่นๆ กำลังสังหารปีศาจจากแดนอเวจี เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้ไม่อาจเทียบกับเผ่าพันธุ์ปีศาจในทวีปมังกรทะยาน ยิ่งไปกว่านั้น เย่ว์หยางเห็นบางอย่างที่ทำให้เขาตกใจ ที่ข้างหน้าเขาเป็นรูปแกะสลักที่แปลกตามากที่สุดเป็นรูปปีกพญาอินทรีทองที่สยายออกกว้างเป็นหมื่นไมล์ มันงดงามและมีขนาดมหึมาจนปีศาจจากแดนอเวจีมีขนาดตัวเท่ามดเล็กๆ
“ถ้าจักรพรรดิที่อสูรคะนองตาทองและคนอื่นๆ พูดถึงเกี่ยวข้องกับพญาอินทรีปีกทองนี้ ตอนนี้เราคงจะเจอความยากลำบากกันแล้ว”
เย่ว์หยางเป็นคนที่มาจากโลกอื่น แม้ว่าไม่มีตำนานเกี่ยวกับพญาอินทรีทองสยายปีในทวีปมังกรทะยาน แต่ในชีวิตนี้เขาเคยอ่านหนังสือมามาก ดังนั้นเขาจึงรู้จักพลังของพญาอินทรีปีกทอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับนิทานปรัมปรา พญาอินทรีทองสยายปีกนี้ไม่ใช่ร่างดั้งเดิมของมัน เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมีความยาวปีกทั้ง 2 ด้าน 3,360,000 ลี้และกินจ้าวมังกรอย่างน้อยวันละตัวและมังกรที่เล็กกว่าอีก 500 ตัวทุกๆ วัน
จากในเรื่องไซอิ๋วพญาอินทรีปีกทองเผยตัวว่าเป็นน้องของเทพมยุรีที่ว่ากันว่าเป็นพุทธมารดา ความแข็งแกร่งของเขาสุดยอดมากขนาดเอาชนะซึงหงอคงได้
มันยังถูกเขียนไว้ว่า มีปลาตัวหนึ่งอยู่ในทะเลเหนือเรียกว่าคุน มันเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่อย่างน้อยพันลี้ จากนั้นมันวิวัฒนาการไปเป็นนกเรียกว่าอินทรี หลังของอินทรีมีขนาดกว้างพันลี้ เมื่อมันบิน ปิกของมันดูเหมือนจะครอบคลุมได้ทั้งโลก
ยังมีคำบอกเล่ากันว่าพญาอินทรีอาศัยอยู่ในแดนใต้ ในที่ซึ่งจะเข้าถึงได้โดยไปทางน้ำสามพันลี้และบินสูงขึ้นไปในอากาศอีกเก้าหมื่นลี้
เมื่อเย่ว์หยางเล่าให้สาวๆ ฟัง แม้เขาพูดแค่เพียงเรื่องว่าพญาอินทรีปีกทองกินมังกรวันละห้าร้อยตัวก็ทำให้สาวๆ กลัวจนตัวแข็งไปแล้ว โดยไม่ต้องเล่าเรื่องพระยูไลกับซุนหงอคงต่อเลย
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกตัวก่อนและพูดโดยไม่อยากเชื่อว่า
“นั่นเป็นไปไม่ได้! จะมีสัตว์ปีกที่มีปีกกว้างถึง 3,360,000 ลี้ได้อย่างไร? อย่างนั้นมันจะบินไปที่ไหน ขนาดท้องฟ้ายังไม่พอให้มันบินด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น มันคงไม่กินมังกรห้าร้อยตัวทุกๆ วันแน่ ต่อให้มันสามารถกินมังกรได้ถึงห้าร้อยตัวก็ตาม แต่ในโลกนี้คงไม่มีมังกรพอให้มันกินแน่ แล้วมันจะไม่อดตายหรือ? โกหกเกินไปหน่อยแล้ว เจ้าขู่ให้เรากลัวใช่ไหม? ข้าไม่เชื่อเจ้า!”
เย่ว์หยางโบกมือพัลวัน
“ความจริง มันไม่ใช่มังกรทอง มังกรดำอะไรทั้งนั้น เจ้าพวกนั้นก็แค่จิ้งเหลน กิ้งก่า มันกินพญามังกรที่ตัวยาวๆ คล้ายงูที่ยาวถึงพันลี้ต่างหาก ตามตำนานบอกไว้ว่าอาหารจานหลักของพญาอินทรีทองก็คืองูมังกรตัวหนึ่ง และมังกรตัวเล็กตัวน้อยเป็นอาหารว่างของมัน”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนหุบยิ้มทันที เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น นางตอบว่า
“นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่!”
“มันใหญ่โตเกินเปรียบเทียบ นั่นเป็นเรื่องแน่นอน แต่ข้าไม่คิดว่ามันใหญ่ถึงขนาดที่เขาพูดกัน”
หญิงงามลึกลับอู๋เสียคอยเป็นตัวกลางขวางไว้ระหว่างเย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
“ถ้าจักรพรรดิของอสูรคะนองตาทองคือพญาอินทรีปีกทองนั้น เราจะสู้กับมันได้อย่างไร?”
เมื่อเจ้าเมืองโล่วฮัวเห็นภาพแกะสลักขนาดมหึมาบนผนัง หัวใจนางตกวูบเล็กน้อย ในภาพนี้ ปีกของพญาอินทรีปีกทองกว้างหลายร้อยเมตรขณะที่จ้าวปีศาจและราชันย์ลิช (ผีอมตะ) สูงไม่กี่เมตร และแม่ทัพปีศาจคนหนึ่งเป็นคนตัวสูง ถ้าภาพนี้มีขนาดเท่าชีวิตจริง หากเย่ว์หยางและสี่สาวมายังอาณาจักรปีศาจบูรพาเพื่อพบกับพญาอินทรีปีกทองนี้ พวกเขาแทบไม่พอเป็นอาหารที่จะติดซอกฟันของพวกมันด้วยซ้ำ
“เราไม่สามารถเอาชนะมันได้ในตอนนี้แน่นอน แทบไม่อาจหนีมันพ้นด้วยซ้ำ”
เย่ว์หยางกังวลอย่างหนักจริงๆ ขนาดซุนหงอคงยังเอาชนะมันไม่ได้ แล้วเขาจะเอาชนะพญาอินทรีปีกทองได้อย่างไร!
“ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไรดี?”
เจ้าเมืองโล่วฮัวยังคงกังวลต่อไป ตอนนี้พวกเขาไล่ตามพวกมันเข้ามาในทางผ่านโบราณนี่แล้ว และพวกเขาจะต้องหลุบหางหนีกลับด้วยหรือ?
“กษัตริย์สู้กับกษัตริย์ และขุนพลสู้กับขุนพล เนื่องจากเราเป็นหมวดหมู่ทหารกองน้อย เราก็ควรเอาชนะทหารฝ่ายตรงข้ามส่วนน้อย”
เย่ว์หยางปลอบพวกนางแล้วพูดว่า
“ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอินทรีปีกทองรูปแบบต่างๆอีก ยังมีนกปีกทองชนิดอื่นอีก อย่างเช่น อัณฑชะกำเนิด (เกิดในไข่) ชลาพุชะกำเนิด (เกิดในครรภ์หรือน้ำคร่ำ) สังเสทชะกำเนิด (เกิดในความอับชื้นสกปรก) โอปปาติกะกำเนิด (เกิดแล้ววิวัฒนาการโตทันที) พวกอัณฑชะจะกินมังกรที่เกิดในไข่, พวกชลาพุชะจะกินมังกรที่อยู่ในไข่และที่ฟักตัวแล้ว และพวกสังเสทชะจะกินมังกรในไข่, มังกรที่ฟักตัวแล้วและมังกรที่มาจากน้ำ ขณะที่พวกโอปปาติกะจะกินทุกอย่างที่มันเจอ มันไม่เลือกอาหารนัก เจ้าตัวที่ใหญ่ที่สุดอาจเป็นพญาอินทรีปีกทองที่มีปีกกว้าง 3,360,000 ลี้ อย่างไรก็ตามตัวที่เล็กที่สุดอาจมีขนาดปีกกว้างไม่ถึง 336 เมตร..”
“เราคงไม่อาจเอาชนะนกที่มีขนาดปีก 336 เมตรได้!”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนหัวเราะขณะที่นางโบกมือ
มังกรทองของไป๋หวินเฟยที่เป็นอสูรทองระดับ 7 แค่ปีกของมันกางได้กว้าง 20 เมตรก็น่ากลัวพอแล้ว ถ้าพวกเขาพบพญาอินทรีปีกทองที่มีปีกกว้าง 336 เมตร พวกเขาจะทำอะไรได้?
พวกเขาไม่จำเป็นต้องสู้ แค่พอมันกระพือปีกก็เป่าทหารทั้งกองทัพจนกระเด็นได้
เจ้าเมืองโล่วฮัวยิ่งเพิ่มความสงสัยมากขึ้น ขณะที่นางฟังเรื่องของเย่ว์หยาง นางถาม
“ข้ารู้จักนกที่เกิดจากไข่และเกิดจากครรภ์ แต่นกที่เกิดจากสิ่งสกปรกอับชื้นและที่เกิดมาวิวัฒนาการโตทันทีมันเป็นยังไง?”
เย่ว์หยางทำเหมือนผู้เชี่ยวชาญที่ขยับแว่นและเริ่มเทศน์ต่อ
“อันว่าแนวคิดกำเนิดสังเสทชะหรือสิ่งสกปรกอับชื้นมาจากเหตุและผลทางปรัชญา เนื่องจากพอน้ำมี ชีวิตใหม่ก็ก่อเกิด ทั้งนี้รวมถึงสิ่งมีชีวิตรูปแบบแมลงต่างๆ เช่นพวกหนอน ส่วนกำเนิดโอปปาติกะที่เกิดแล้ววิวัฒนาการทันที เอ่อ .. ข้าหมายถึงบางอย่างเช่นว่าได้รับพลังใหม่ที่ท่านไม่เคยมีมาก่อน หรือเป็นประสบการณ์เปลี่ยนแปลงในสภาวะจิตใจ จนกลายเป็นอีกคนหรืออีกอย่างไปเลย... แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่คำอธิบายที่ชัดเจนนัก แต่ก็ไม่ต่างนั้นเท่าไรนัก..”
เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ ความคิดอย่างหนึ่งก็แว่บเข้ามาในจิตใจเขา
เขาจำได้ว่าพี่สาวในดินแดนแห่งความฝัน ถูกสร้างโดยปราณของเทพธิดากระบี่ฟ้า นางจะนับว่าถือกำเนิดแบบโอปปาติกะหรือเปล่า?
ถ้าหญิงสาวในดินแดนแห่งความฝันของเขามีลักษณะที่ถือกำเนิดจากวิวัฒนาการโตทันที เป็นรูปแบบกำเนิดระดับสูงที่สุด อย่างนั้นเทพธิดากระบี่ฟ้าเป็นใครกัน ใครกันที่สร้างนาง? นางใช่ผู้รังสรรผู้น้อยหรือเปล่า? เมื่อเขาคิดดูอีกครั้ง นางอาจคือกระบี่บินที่เขาขโมยมาจากนักพรตเฒ่า อย่างนั้น นักพรตเฒ่านั่นมีความเป็นมายังไง?
โธ่เอ๋ย, นักพรตเฒ่านั่นก็แค่อาจเป็นร่างพิเศษอย่างหนึ่งที่ชอบเล่นกับส่วนที่อ่อนแอของคน เขาจงใจปลอมตนเองเป็นนักพรตเฒ่าผู้น่าสงสารมาหลอกเขา
เมื่อเย่ว์หยางคิดเรื่องนี้ ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนกับถูกโกง
เป็นไปได้ไหมว่านักพรตเฒ่าส่งเขามาทวีปมังกรทะยานเพื่อที่ว่าเขาจะได้จัดการเรื่องยุ่งๆ ของนักพรตเฒ่า?
ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น เขาก่อเรื่องวุ่นวายในที่แห่งนี้จนสุดท้ายเป็นเขาเองที่ต้องมาชำระความยุ่งเหยิง.. เย่ว์หยางรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที โชคดีที่นักพรตเฒ่าไม่อยู่ที่นี่ มิฉะนั้น บางทีเขาคงจะทุบตีนักพรตเฒ่าไม่ยั้งแน่ เขาไม่เคยเห็นเซียนที่ขาดความรับผิดชอบอย่างนี้มาก่อน
“เป็นอะไรของเจ้า?”
เจ้าเมืองโล่วฮัวรีบแตะไหล่ของเย่ว์หยางเมื่อนางเห็นเขาเงียบอยู่นานโดยไม่ทำอะไรเลย “กำลังคิดอยู่หรือ?”
“ไม่มีอะไร!”
เย่ว์หยางรีบเปลี่ยนเรื่อง
“พญาอินทรีปีกทองเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งมากที่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเราในอนาคต เมื่อระดับนักสู้ของเราเพิ่มขึ้นไปอีก เรายังไม่ควรเผชิญกับมันในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม สมาชิกเผ่าปีศาจบูรพาบางตนเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว อย่างเช่นอสูรคะนองตาทองและพยัคฆ์บินผู้นั้น แต่ความจริงคนอื่นๆ แทบทั้งหมดเป็นพาหนะของคนอื่น รูปแบบชีวิตก็ต่ำ คงไม่เป็นไรหรอกถ้าเราพบกับคนพวกนี้ เราจะต้องปวดหัวกว่าถ้าพบกับเจ้านายของพวกเขา หวังว่าพวกเขาจะไม่มีเจ้านายตลอดไป ตอนนี้ ข้าคิดว่าได้ยินเสียงลมพัด ไล่ตามพวกเขาไปก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องนี้ภายหลัง”
“ข้าได้ยินมาว่ามีอสูรที่น่ากลัวมากมายในทางผ่านโบราณที่ไม่เคยเห็นแสงตะวันมาก่อน เราต้องระมัดระวังให้มาก”
หญิงงามอมโรคอู๋เหินที่เงียบมาโดยตลอดเตือนพวกเขาทันที
“ไม่น่าจะมี แม้ว่าทางผ่านจะมีขนาดใหญ่ แต่ไม่มีอาหารที่นี่ ถ้าไม่มีอาหาร ข้าคิดว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นก็ต้องหิวตาย”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนคำนึงถึงสถานการณ์ปัจจุบันมากกว่า นางรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีอสูรประหลาดในเส้นทางโบราณนี้
เย่ว์หยางและสี่สาวเดินหน้าต่อไป ผ่านรูปแกะสลักขนาดยักษ์และทางคดเคี้ยวขนาดมหึมา พวกเขาวิ่งอยู่บนถนนที่ขรุขระเป็นระยะทางไม่กี่ไมล์
ทันใดนั้น องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนผู้มีประสาทรับรู้ไวเพราะทักษะแฝงหกรับรู้ของนางส่งสัญญาณให้คนอื่นหยุด
จมูกของนางกระตุก ขณะที่นางพูดว่า
“มีกลิ่นคาวเลือดรุนแรงอยู่ข้างหน้า!”
แทบจะทันทีเย่ว์หยาง, อู๋เสียและคนอื่นๆ ก็ได้กลิ่นเช่นกัน กลิ่นคาวเลือดลอยมาแต่ไกลอยู่ข้างหน้าพวกเขา เย่ว์หยางและสี่สาวเดินไปเงียบๆ จนกระทั่งใกล้แหล่งที่มาของกลิ่นแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพวกเขาพบว่าเหมยฮัวคนน้องนอนจมกองเลือด ในตอนนี้เหมยฮัวคนน้องได้กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมของเขาแล้ว
เย่ว์หยางและสี่สาวรู้สึกตกใจกับภาพข้างหน้า แม้ว่าพวกเขาจะช้าเพราะมัวชมภาพแกะสลักฝาผนัง แต่เวลาก็ผ่านไปไม่เกินสิบนาที แล้วใครเป็นคนฆ่าเหมยฮัวคนน้อง ผู้มีพลังแข็งแกร่งและทรงพลังมากได้รวดเร็วภายในสิบนาที?
ยิ่งไปกว่านั้น ยังฆ่าเงียบโดยไม่มีเสียงอีกด้วย
เป็นไปได้ไหมว่าเป็นฝีมือของสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวในทางผ่านโบราณซึ่งไม่เคยเห็นแสงตะวันมาก่อน?
เจ้าเมืองโล่วฮัวไม่กลัวสัตว์อสูร แต่นางกลัวผีและวิญญาณ อมนุษย์ที่มองไม่เห็นรูป นางยังคงกลัวความมืดอีกด้วย
พอคิดว่าอสูรเสือดาวตายด้วยรูปแบบที่ประหลาด นางอดคิดไม่ได้ว่าเป็นการกระทำของผี นางกอดแขนของเย่ว์หยางแน่น ราวกับว่าต้องการให้เขาช่วยปกป้องนาง พอเห็นนางเป็นแบบนี้เย่ว์หยางลอบหัวเราะ แม่สาวโล่วฮัวนี้ปกตินางไม่กลัวอะไร แต่กลับกลายเป็นว่ากลัวความมืดเสียได้..
ในอนาคตข้างหน้า เขาจะพานางไปยังที่มืดมิดที่มองนิ้วมือก็ยังไม่เห็น อย่างนั้นโชคดีก็เป็นของเขาแล้ว
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่สนใจเรื่องผีแม้แต่น้อย นางกล้าเดินเข้าไปที่ศพของอสูรเสือดาวเพื่อตรวจดูสาเหตุการตายของมัน
เมื่อนางกลับมา นางส่ายหน้าให้เย่ว์หยางแสดงว่านางหาสาเหตุไม่พบ
เย่ว์หยางใช้ญาณทิพย์ระดับ 4 ตรวจดู ดังนั้นเขาจึงรู้ความจริง เขาหัวเราะ
“องค์หญิง! จะเป็นอะไรไหมถ้าเราหาสาเหตุการตายไม่เจอ เราไปหาคนของเราจะดีกว่า ท่านอยากให้ข้าน้อยบอกอะไรบางอย่างหรือไม่? อะแฮ่ม ถ้าองค์หญิงจะรางวัลเล็กๆ น้อยๆ แก่ข้าน้อยผู้นี้ ข้าน้อยจะรายงานทุกอย่างโดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่นิดเดียว!”
“อย่ากวนใจองค์หญิงนี้ให้อารมณ์เสียเลย นางเป็นแม่เสือสาว ดังนั้นเจ้าอย่ายั่วโมโหนางเกินไปจะดีกว่า ยิ่งกว่านั้น เจ้าคือองครักษ์ส่วนตัวของข้า ถ้าเจ้ามีอะไรรายงาน เจ้าก็ควรรายงานข้า!”
เจ้าเมืองโล่วฮัวชอบแกล้งให้องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนหึง นางหัวเราะลั่น
“เขาคงตายจากอาการบาดเจ็บหนัก เหมยฮัวคนน้องถึงได้กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม แต่ไม่มีบาดแผลบนร่างกายเขา ศัตรูของเขาน่าจะใช้วิธีการบางอย่างทำร้ายร่างกายเขาจากภายใน”
อู๋เสียพยายามเดา
“ถ้าเขาไม่บาดเจ็บภายนอก ทำไมถึงมีเลือดมากนักเล่า?”
หญิงงามอมโรคอู๋เหินถามอย่างสงสัย
“เหมยฮัวคนน้องไม่ได้กลับคืนสู่ร่างเดิม เขาคืนร่างหลังจากเขาตายแล้ว ร่างของเขามีความสามารถในการฟื้นฟูที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นอาการบาดเจ็บภายนอกของเขาจึงหายไป แต่อาการบาดเจ็บภายในของเขายังคงอยู่ สาเหตุการตายของเขาเพราะใครบางคนชิงเอาเม็ดพลังของโลกชาวเผ่าปีศาจของเขาออกไป มันเป็นสิ่งที่คล้ายกับผลึกเวทของปีศาจในแดนอเวจี .... เผ่าปีศาจบูรพาทุกตนจะมีเม็ดพลังอยู่ในตัวพวกเขา คล้ายๆ กลับที่พวกปีศาจในแดนอเวจีก็มีผลึกเวท อย่างไรก็ตาม เม็ดพลังของพวกเขาไม่ได้อยู่ในกะโหลกพวกเขา พวกมันอยู่ที่ท้องน้อยของพวกเขา ไม่มีเม็ดพลัง ร่างกายพวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ได้ ดังนั้นพวกเขาก็จะตาย”
เย่ว์หยางสามารถเห็นความจริงถึงสามารถการตายของเหมยฮัวคนน้องด้วยทักษะญาณทิพย์ของเขา
“ทำไมเม็ดพลังของพวกเขาถึงอยู่ในท้องน้อยที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของร่างกายเขาล่ะ? เก็บไว้ในกะโหลกที่มีการป้องกันได้มากกว่าจะไม่ดีกว่าหรือ?”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนถามอย่างไม่เข้าใจ
“มีคำกล่าวว่าวิธีฝึกฝนของเผ่าภูตตะวันออกก็ทำห้เม็ดพลังเติบโตขึ้นที่จุดตันเถียน (ท้องน้อย) ฉะนั้นบางทีเผ่าปีศาจบูรพาก็คงมีวิธีฝึกคล้ายกัน”
เย่ว์หยางรู้วิธีฝึกมาเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถอธิบายให้องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเข้าใจได้ เขาอาจทำให้นางสับสนในอนาคตก็ได้ นอกจากนี้ เขาเกรงว่าถ้านางซักไซ้มากไป เขาอาจเผลอเปิดเผยทักษะปราณกระบี่ไร้ลักษณ์โดยไม่ตั้งใจ ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้น เขาอาจตกอยู่ในความยุ่งยากจริงๆ ดังนั้นเขาจึงพยายามเปลี่ยนหัวข้อ
“อาจมีฆาตกรสองคนที่ฆ่าเหมยฮัวคนน้อง และสองคนนั้นอาจเป็นนักรบปราณก่อกำเนิด...”
“องครักษ์พิทักษ์ฟ้าของต้าเซี่ยเราและของเทียนหลัวมาถึงที่นี่แล้วหรือ?”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยินดีเมื่อนางได้ยินเย่ว์หยางบอกเช่นนั้น
“ไม่ใช่, บางทีสถานการณ์อาจเลวร้ายกว่าที่เราคิด พวกเขาอาจเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดจากสือจินหรือนิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตก, นิกายบรรพตขจีหรือนิกายพันปีศาจหรืออาจมาจากวังมารก็ได้ ข้าสามารถรู้สึกถึงเศษเสี้ยวปราณก่อกำเนิดภายในตัวของเหมยฮัวคนน้องได้ และรู้สึกว่าไม่คุ้นเคย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีบางอย่างที่แปลกจริงๆ เกี่ยวกับปราณก่อกำเนิดนั้น”
สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดไม่ใช่เรื่องที่คนของเผ่าปีศาจบูรพาบุกทวีปมังกรทะยาน
กลับเป็นผู้บงการอยู่หลังฉากผู้นำคนของเผ่าปีศาจบูรพาเข้ามา เขาแน่ใจถึง 90% ว่าผู้บงการหลังฉากก็คืออาณาจักรสือจิน, นิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตกและนิกายบรรพตขจีร่วมมือกันก่อเรื่องเช่นนี้ พวกเขาอาจร่วมมือกับนิกายพันปีศาจและวังมาร พวกเขารู้ความเปลี่ยนแปลงในทวีปมังกรทะยาน
เมื่อพันธมิตรนักสู้ปราณก่อกำเนิดไปยังหอทงเทียนชั้นสิบ พวกเขาออกคำสั่งให้คนบางส่วนไปที่เผ่าปีศาจบูรพาและชักชวนให้พวกเขาไปยังทวีปมังกรทะยานเพื่อลักพาตัวจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้และประมุขตระกูลใหญ่ทั้งสี่ตระกูล พวกเขาไม่ยอมปล่อยราชันย์ฟ้าตะวันออกและราชันย์ฟ้าตะวันตกแห่งอาณาจักรเทียนหลัวนี่ก็แสดงว่าพวกเขาใช้ให้คนอื่นทำงานสกปรก
ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขายังคงเตรียมลอบทำร้ายและฆ่าเหมยฮัวผู้น้องแห่งเผ่าปีศาจบูรพา เพื่อป้ายสีนักสู้ปราณก่อกำเนิดของทวีปมังกรทะยาน
เมื่อนักสู้ปราณก่อกำเนิดผู้ปกป้องทวีปมังกรทะยานกลับมาจากหอทงเทียนชั้นที่สิบ พวกเขาจะไปล้างแค้นเอากับเผ่าปีศาจบูรพาแน่นอน เมื่อทั้งสองฝ่ายประกาศสงครามใหญ่ อาณาจักรสือจิน, นิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตกและนิกายบรรพตขจีก็จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างสบาย
สำหรับนิกายพันปีศาจและวังปีศาจ คงเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่พวกเขาจะไม่ฉวยประโยชน์จากเหตุการณ์นี้
พวกเขาอาจโจมตีอาณาจักรสือจิน, นิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตกและนิกายดอยเขียวตลบหลังเมื่อเรื่องนี้จบลงทั้งหมดก็ได้
“ความกังวลที่น่ากลัวที่สุดของเรากลายเป็นจริงแล้ว ทวีปมังกรทะยานจะตกอยู่ในมรสุมภัยพิบัติอย่างแน่นอน ศัตรูของเราจะมาหาเราอย่างแน่นอน!”
อู๋เสียเฉลยข้อเท็จจริงออกมาอย่างใจเย็น
“อ้างอิงถึงสิบคนที่อยู่ในรายชื่อของเผ่าปีศาจตะวันออก เราสามารถเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้ ประการแรก เราสามารถสรุปได้ว่าเรื่องนี้มีการวางแผนมาเป็นเวลานาน แต่เรื่องที่เผ่าปีศาจบูรพารุกรานเราเป็นการตัดสินใจนาทีสุดท้าย เหตุผลก็เป็นเพราะรายชื่อทั้งสิบที่ระบุไว้ทุกคนเป็นคู่แข่งที่โดดเด่นในการประลองสุดยอดร้อยโรงเรียน... คนอย่างพี่โล่วฮัว, พี่อู๋เหินและข้าเองไม่ถูกรวมไว้ด้วย เพราะศัตรูไม่รู้เรื่องของเราเลย ในสถานการณ์เร่งด่วน พวกเขารีบเลือกสิบรายชื่อจากการแข่งขันประลองสุดยอดร้อยโรงเรียน นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมปิงเอ๋อถึงถูกเลือกไปด้วย นางทำได้ยอดเยี่ยมในระหว่างต่อสู้กับเฟิงชิซา ดังนั้นศัตรูของเราที่ซ่อนอยู่หลังฉากจึงเลือกนางเช่นกัน”
“เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นก็ทำได้ดี แล้วทำไมพวกเขาไม่ถูกเลือก? ยิ่งไปกว่านั้นเผ่าปีศาจบูรพายังเลือกองค์ชายสือจินที่ร่วมมือกับพวกเขาด้วย”
เจ้าเมืองโล่วฮัวพยายามจะไขปมลึกลับนี้
“อาจเป็นเพราะคนทรยศที่นำพวกเผ่าปีศาจบูรพามารุกรานทวีปมังกรทะยานไม่ใช่แค่อาณาจักรสือจินและนิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตก, นิกายพันปีศาจและพวกวังมารก็ยังพัวพันด้วย ดังนั้นเผ่าปีศาจบูรพาอาจเปลี่ยนรายชื่อในนาทีสุดท้าย อีกจุดหนึ่งก็คือเย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ ไม่มีรากฐานอะไร พวกเขาไม่ได้มีชาติตระกูลที่ใหญ่หรือมีอำนาจอื่นสนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง การฆ่าพวกเขาเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ เพราะไม่มีใครจะมาล้างแค้นให้พวกเขา”
อู๋เสียใช้นิ้วมือเคาะหนังสือขณะที่นางสรุปอย่างเงียบๆ
“บางที เมื่อเย่คงและเจ้าอ้วนไห่หลบหนีไป อาณาจักรสือจินและนักรบนิกายเจดีย์ราชสีห์กำลังรอฆ่าพวกเขาในท่ามกลางความวุ่นวายอยู่ข้างนอกก็ได้ แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ทำอย่างโจ่งแจ้ง แต่พวกเขาอาจปลอมตัวเป็นสมาชิกของเผ่าปีศาจบูรพาหรือปีศาจจากแดนอเวจี และยิ่งรองครูใหญ่ยังอยู่ที่นั่น บางทีพวกเขาคงไม่สามารถทำอะไรอย่างโจ่งแจ้งได้ เพราะรองครูใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการเทเลพอร์ตผ่านมิติ ถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะได้ เขาก็ยังสามารถหลบหนีไปได้ง่ายๆ ไม่มีปัญหา ต่อให้กลุ่มนักสู้ปราณก่อกำเนิดพบตัวเขา พวกเขาก็ไม่สามารถฆ่ารองครูใหญ่ได้ง่ายๆ”
“ความจริงเราอยู่ในอันตรายร้ายแรง นักรบอาณาจักรสือจินและนิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตกจะต้องผ่านมาที่ทางผ่านโบราณแน่นอน พวกเขาจะฆ่าเฟิงชิซา, เหยียนพั่วจวินและคนอื่นๆ เพื่อกระตุ้นความโกรธของพันธมิตรปราณก่อกำเนิดแล้วยังฆ่าอสูรเสือดาว, หมีอำมหิต, พยัคฆ์บินและอสูรคะนองตาทอง จากนั้นป้ายความผิดไปที่ทวีปมังกรทะยาน วัตถุประสงค์ของพวกเขาก็คือต้องการตอกลิ่มระหว่างเรา เพื่อที่ว่าเราจะได้เกิดสงครามระหว่างกัน นอกจากช่วยคนที่ถูกจับทุกคนให้ปลอดภัยแล้ว เรายังต้องระมัดระวังความปลอดภัยของพวกเรา นั่นเป็นเพราะชื่อของพวกเราทุกคนเป็นที่ต้องการของพวกเขา...”
หญิงงามอมโรคอู๋เหินยังคงฉลาดมาก นางสามารถคิดไปไกลกับความจริงที่อยู่ต่อหน้านาง
“.....”
เย่ว์หยางรู้ว่าปัญหาในทวีปมังกรทะยานเขาไม่อาจคลี่คลายโดยลำพังผู้เดียวได้ การแบ่งฝ่าย ทำสงครามขับเคี่ยวเหล่านั้นทั้งหมด เย่ว์หยางไม่สามารถดูแลได้ทั้งหมด แต่เขาเกลียดเมื่อใครบางคนเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นหมากตาหนึ่ง
พลังของเขาเองอาจไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้มากนัก
แต่เย่ว์หยางแน่ใจว่าไม่ว่าเขาเห็นศัตรูจากอาณาจักรสือจิน, นิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตก, นิกายบรรพตขจี, นิกายพันปีศาจหรือวังมารเขาจะฆ่าพวกมันให้หมด เย่ว์หยางเกลียดที่เมื่อเขากลายเป็นเหยื่อคนอื่น
ลืมเรื่องคนพวกนั้นที่ต้องการฆ่าเขาก็พอได้ แต่เขาจะฆ่าคนที่มีความคิดร้ายกับครอบครัวของเขา
ภายนอกนั้นเย่ว์หยางไม่แสดงสีหน้าอะไร แต่หัวใจของเขามีโทสะคุกรุ่น
อักษรรูนที่ดูเหมือนสิ่งวิเศษเริ่มผุดขึ้นบนผิวเขา ก่อเป็นรูปวงเวทนับไม่ถ้วน เย่ว์หยางพบว่าเขายังไม่ได้ยกระดับพลังปราณก่อกำเนิดเลย แต่เขารู้สึกเหมือนว่ามีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังเหมือนพลังปราณก่อกำเนิดกำลังกลับมาสู่ตัวของเขา หลังจากใช้พลังปราณก่อกำเนิดเกินขีดจำกัดฆ่าถูเฉิง เมื่อเย่ว์หยางพบว่า เขาสามารถรู้สึกได้ว่า พลังของเขาถูกเก็บกดเอาไว้จนถึงบัดนี้ ความโกรธของเขาได้ทำลายกำแพงที่ขวางกั้นพลังเขาลงโดยสิ้นเชิง ห่วงที่มองไม่เห็นในร่างของเขาแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ความจริงของเย่ว์หยางก็คือ ความแข็งแกร่งที่ทรงพลังค่อยๆ คลายตัวออกมาอย่างสง่างาม
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากถูกเก็บกดไว้ ได้ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง
“ค่อยๆ ก็ได้ อย่าเพิ่งเร่ง ยกระดับปราณก่อกำเนิดเป็นกระบวนการที่ต้องค่อยๆ ทำ”
อู๋เสียผู้ไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเย่ว์หยาง นางเตือนเขาในเวลานี้ นางบอกให้เย่ว์หยางควบคุมจิตใจตนเอง เพื่อที่ว่าเขาจะได้ไม่สูญเสียการควบคุมตนเอง
“ไม่เป็นไร ทุกคนไปซ่อนตัวก่อน ใครบางคนกำลังมาที่นี่ และเขามากันไวมาก”
หลังจากเย่ว์หยางฟื้นพลังที่แท้จริงของเขาแล้ว ความรู้สึกของเขาคมชัดกว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเสียอีก
ขณะที่เย่ว์หยางและสี่สาวซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งห่างออกมาไม่กี่ร้อยเมตร แสงสีทองปรากฏขึ้นทันที ฉายผ่านทางผ่านโบราณตรงมาที่พวกเขา
แสงสีทองสว่างมากจนทำให้ตาพร่า
ในที่สุด แสงทองสองสายก็หยุดในอากาศเหนือซากอสูรเสือดาว ก็คือร่างของเหมยฮัวผู้น้องนั่นเอง
*** ต่อไปนี้ขอเรียกกลุ่มวังปีศาจเป็น “วังมาร” นะครับ จะได้ไม่เฝือกับคำว่าปีศาจเกินไป***
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=270