ตอนที่ 245 เผ่าปีศาจบูรพา
ยาเม็ดกระหายเลือดเป็นตัวยาต้องห้าม สามารถกระตุ้นศักยภาพของคนและเพิ่มพลังต่อสู้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม มันเป็นสาเหตุให้ผู้ใช้สูญเสียการควบคุมตนเองได้ง่ายเช่นกัน นักรบผู้มีจิตใจอ่อนแออาจกลายเป็นอสูรกระหายเลือด ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าได้ ถ้าเป็นการต่อสู้เสี่ยงชีวิต การใช้ยากระหายเลือดเพื่อฆ่าศัตรูคู่อาฆาตเพื่อช่วยให้ได้ชัยชนะก็ยังพอยอมรับกันได้
แต่นี่คือการแข่งขันประลองสุดยอดร้อยโรงเรียน ยาเม็ดกระหายเลือดถูกห้ามใช้ในการแข่งขัน ทันทีที่ผู้ใช้สูญเสียการควบคุมตนเอง เขาอาจฆ่าคู่ต่อสู้ นักรบเหล่านี้ผู้ละเมิดกฎการแข่งขันโดยใช้วิธีการทุจริตดังกล่าวเพื่อไขว่คว้าชัยชนะโดยไม่คำนึงถึงชีวิตคนอื่นก็จะถูกกีดกันโดยคนอื่น
จุดมุ่งหมายของการแข่งขันไม่ใช่เพื่อเอาชีวิตคนบริสุทธิ์ แต่เพื่อให้คนอื่นมีโอกาสฝึกฝนตัวเองมากกว่า นี่คือเวทีที่เปิดโอกาสให้นักเรียนช่วยหนุนส่งกันและกันเติบโตขึ้น
แน่นอนว่าการแข่งขันต้องมีจุดเริ่มต้นที่แป็นธรรม ทุกคนจะต้องรับมือแต่ละคนภายใต้กติกาเดียวกันมากที่สุดที่จะเป็นไปได้ ตอนเริ่มแรกการแข่งขันจะเริ่มขึ้นภายใต้กฎที่เป็นธรรม หลังจากนั้นพวกเขาจะต้องพึ่งพาจิตวิญญาณนักสู้, กลยุทธต่อสู้ ทักษะของอสูรของพวกเขาเพื่อที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของพวกเขา
ความหมายของการแข่งขันก็เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกตัวเองผ่านการต่อสู้ จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้คุณธรรมของคนอื่นระหว่างการต่อสู้ของพวกเขา จะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ในที่สุดจะแยกความแตกต่างหานักเรียนชั้นหัวกะทิเพื่อแข่งขันหาชัยชนะครั้งสุดท้าย นี่คือจุดมุ่งหมายของการจัดการแข่งขันประลองสุดยอดร้อยโรงเรียน
การใช้ยาพิษเขียวเพื่อวางพิษคู่ต่อสู้หรือใช้ยาเม็ดกระหายเลือดเพื่อเพิ่มพลังตนเองเป็นสิ่งที่กฎได้ห้ามไว้
ทันทีที่ถูกพบ คนที่ใช้จะถูกขับออกจากการแข่งขันทันทีและไม่สามารถเข้าร่วมแข่งขันถึงสามปี
มันเป็นการหยามจิตวิญญาณการแข่งขันมากพอแล้ว เมื่อองค์ชายสือจินแอบเรียกสัตว์อสูรตั้งแต่เขายังอยู่ข้างล่างเวที แค่นี้ก็ทำให้ทุกคนมองเขาด้วยอาการดูถูกแล้ว
ตอนนี้ เขายังกล้าแอบใช้ยาเม็ดกระหายเลือด นี่ถือว่าเป็นการดูถูกคำว่า “สุดยอดหัวกะทิ” ครั้งใหญ่ที่สุด ใช้ยาเม็ดกระหายเลือดเพิ่มพลังทั้งที่ถูกมหาชนจับตา ใช้วิธีการปกปิดเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาและคว้าชัยชนะ การกระทำแบบนี้ถือเป็นการตบหน้าทุกคนที่เข้าแข่งประลองสุดยอดร้อยโรงเรียน
“องค์ชายสือจิน! โปรดหยุดการแข่งขันก่อน ข้าอยากจะตรวจสอบเลือดของท่าน!”
กรรมการใหญ่โกรธจัด ยาเม็ดกระหายเลือดเป็นตัวยาต้องห้าม มันมีราคาแพงและนักรบธรรมดาก็แทบไม่มีโอกาสได้ใช้มัน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องแปลกที่องค์ชายสือจินจะเป็นผู้ครอบครองยาต้องห้ามชนิดนี้ได้ เนื่องจากแหล่งที่มาของยาชนิดนี้มาจากนิกายบรรพตขจีในอาณาจักรสือจิน มีผู้เชี่ยวชาญชั่วร้ายนับไม่ถ้วนอยู่ในนิกายบรรพตขจี
ประมุขนิกายคนปัจจุบันตวนมู่หลงเฉิง ไม่ใช่เป็นแค่เพียงองครักษ์พิทักษ์ฟ้าของอาณาจักรสือจินเท่านั้นแต่ยังเป็นปรมาจารย์ด้านปรุงยาอีกด้วย แม้ว่าจะไม่มีข้อพิสูจน์ว่าตวนมู่หลงเฉิงสร้างยาเม็ดกระหายเลือดนี้ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าเขาได้ปรุงยา “หมาป่ากระเจิง” ที่สามารถเพิ่มพลังรบของทหารในช่วงเวลาสั้นๆ ได้
เป็นเรื่องจริงแน่นอน เพราะอาณาจักรสือจินเป็นเจ้าของยาหมาป่ากระเจิง กองทัพของเขาจึงได้โหดเหี้ยมป่าเถื่อนมากที่สุด พวกเขาเสพยาเพื่อต่อสู้ได้เหมือนกับว่าชีวิตของพวกเขาวนเวียนอยู่กับมัน เหมือนฝูงหมาป่าที่หิวกระหาย
“ไม่, ข้าไม่มี ข้าขอปฏิเสธการตรวจสอบ!”
องค์ชายสือจินไม่คิดว่าเย่ว์หยางจะมองเห็นว่าเขาใช้ยาต้องห้าม
แน่นอนว่าในตอนนี้ เขาไม่ยอมให้หัวหน้ากรรมการตรวจสอบ มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่สถาบันหมาป่าที่เขาเป็นตัวแทนอยู่ อาณาจักรสือจินและนิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตกคงจะเสื่อมเสียชื่อเสียงครั้งใหญ่
มองผิวเผิน ฤทธิ์ของยากระหายเลือดยังมองไม่เห็น อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาสามารถตรวจพบได้เมื่อทำการตรวจตัวอย่างเลือด
นี่คือความจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกที่เข้าร่วมแข่งขันประลองสุดยอดร้อยโรงเรียนที่เป็นเจ้าของอสูรชนิดพิเศษ เพียงแต่ดมหรือแตะลิ้มเลือด พวกมันก็สามารถรู้สึกได้
“ไม่ต้องรีบร้อนปฏิเสธ อันที่จริง แม้ท่านจะกินยาเม็ดกระหายเลือดต่างข้าว ข้าก็ไม่สนใจอยู่แล้ว”
เย่ว์หยางยักไหล่ทำเป็นไม่ใส่ใจ
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
องค์ชายสือจินบ้าไปแล้วในตอนนี้
ทุกอย่างที่เขามีถูกคุณชายสามผู้นี้ทำลายสิ้น
ต่อไปนี้ สิ่งที่รอคอยเขาไม่ใช่แค่ความพ่ายแพ้อย่างอนาถเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสูญสิ้นความรุ่งเรือง เขาจะต้องอยู่กับความอัปยศตลอดไปโดยมิอาจลบล้างมันได้
กินยาต้องห้ามน่าละอายยิ่งกว่าการคุกเข่าต่อหน้าคู่ต่อสู้อย่างที่ไป๋หวินเฟยทำเสียอีก ทางออกเดียวของเขาคือฆ่าศัตรูและขังตัวเองตลอดไปเพื่อให้ความเกลียดชังของเขาสงบลง องค์ชายสือจินไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตกอยู่ภายใต้คำพูดกระตุ้นของคู่ต่อสู้ เขาค่อยๆ สูญเสียการควบคุมตนเอง เขาเริ่มกลายเป็นสัตว์กระหายเลือดผู้อยากฆ่าคนอื่นๆ
นัยน์ตาขององค์ชายสือจินแดงฉาน เขาเงื้อดาบทองและฟันใส่เย่ว์หยางอย่างบ้าคลั่ง
เย่ว์หยางยกมือและปรากฏพายุเพลิงหมุนอยู่ด้านล่างองค์ชายสือจิน ทำให้เขาถูกเหวี่ยงไปในอากาศโดยไม่มีโอกาสต่อต้านได้
ขณะที่องค์ชายสือจินพยายามดิ้นรนออกจากพายุหมุนเพลิงให้ได้ พายุหมุนเพลิงก็หายไปทันที พอเย่ว์หยางกระทืบเท้า เขาทำให้เสาเพลิงระเบิดออกมาจากพื้นพุ่งเข้าหาองค์ชายที่อยู่กลางอากาศ
เสาเพลิงทำให้เขาถูกดันสูงขึ้นไปในอากาศอีกสิบเมตรก่อนที่จะหายไปกลางอากาศ
มหาชนที่ชมอยู่รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่พุ่งใส่พวกเขา กลับกลายเป็นว่าเริ่มจะหายใจลำบากเช่นกัน
ในท้องฟ้า องค์ชายสือจินดูเหมือนจะถูกเสาเพลิงที่เย่ว์หยางควบคุมกระแทกหมดสติไปแล้ว เหมือนกับว่าเขาสูญเสียความต้องการต่อสู้ ร่างของเขาจึงร่วงลงมา ศิษย์ของสถาบันหมาป่าเทาและนิกายเจดีย์ราชสีห์ตะวันตกร้องเสียงหลง ดูเหมือนมีบางคนใช้ทักษะขันของไก่ฟ้าทองเพื่อปลุกเขาให้ตื่น
การกระทำเช่นนี้ส่งผลชัดเจน
ด้วยเสียงขันของไก่ฟ้าทอง นัยน์ตาขององค์ชายสือจินซึ่งหลับอยู่ ก็ตื่นขึ้นทันที
เขาตีลังกากลางอากาศและเรียกคัมภีร์ของเขาออกมาเหนือพื้นสิบเมตร เขาเรียกมังกรบินดำ อสูรสายเสริมพลังและผสานเข้ากับตัวเขา ปีกมังกรยักษ์งอกออกมาจากหลังของเขา กรงเล็บของเขายังคงงอกยาวเป็นกรงเล็บมังกรที่แหลมคม ด้วยวิธีนี้เขากลับลงมาอยู่บนพื้นได้อย่างง่ายดาย...
ฝูงชนโห่ไม่พอใจอย่างต่อเนื่อง เขาผิดกฎครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมทีนี่เป็นการแข่งขันที่จำกัดให้ใช้แค่วิทยายุทธ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงได้เรียกคัมภีร์อัญเชิญออกมาตอนนี้เล่า? นักเรียนไตตันยังไม่เรียกสัตว์อสูรเลยแม้แต่ตัวเดียว แล้วยังใช้แต่วิทยายุทธเข้าสู้ ไม่เพียงแต่องค์ชายสือจินเรียกจ้าวหมาป่าทองตั้งแต่ยังอยู่ข้างล่างเวทีเท่านั้น เขายังใช้ยาเม็ดกระหายเลือดบนเวทีและเรียกมังกรบินออกมาอีกตัวหนึ่ง ไร้ยางอายเกินไปไม่ใช่หรือ?
เขาไม่มีความสามารถอะไรที่จะเอาชนะครั้งนี้ได้แล้วหรือ?
เฟิงชิซาและเหยียนพั่วจวินหัวเราะ
พวกเขารู้ว่าตอนนี้ องค์ชายสือจินนั้นล้มเหลวอย่างแท้จริง
ถ้าเย่ว์หยางต้องการเอาชนะองค์ชายสือจิน เขาไม่จำเป็นต้องใช้นิ้วเดียวเพื่อต่อต้านหรือเลียนแบบวิชาของคู่ต่อสู้ก็ได้ วิธีการเหล่านั้นก็แค่ใช้เพื่อยั่วโมโหองค์ชายสือจินทำให้เขาคลั่งจนสูญเสียการควบคุมตนเอง
ไป๋หวินเฟย, องค์ชายสือจินและทูตมังกรชังหลันวี่เป็นตัวแทนของสี่นิกายใหญ่ในการแข่งขันสุดยอดร้อยโรงเรียน พวกเขาอยู่ที่นี่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเพื่อเอาชนะสมาชิกรุ่นเยาว์ของสี่ตระกูลใหญ่และเกี่ยวข้องกับการเพิ่มศักดิ์ศรีและอิทธิพลของพวกเขาที่มีอยู่ในทวีปมังกรทะยาน ตราบใดที่คู่ต่อสู้ไม่ยอมแพ้
ไป๋หวินเฟยและองค์ชายสือจินจะทุบตีคู่ต่อสู้จนสะบักสะบอม จนกว่าคู่ต่อสู้จะสิ้นหวัง... นักรบแห่งทวีปมังกรทะยานเทิดทูนบูชาผู้ชนะ และหัวใจของพวกเขาทุกคนเริ่มจะโปรดปรานสามดาวดวงใหม่เหล่านี้ เปรียบเทียบกันแล้ว ชื่อเสียงของสามดาวเพชรฆาตกลับถูกพวกเขาบดบังรัศมีไป ถ้าสามดาวเพชฌฆาตถูกกวาดโดยไป๋หวินเฟยหรือองค์ชายสือจินในรอบสุดท้าย ศักดิ์ศรีของสี่ตระกูลใหญ่จะต่ำเตี้ยติดดิน และชื่อเสียงของสี่นิกายใหญ่จะสูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก
เย่ว์หยางเอาชนะไป๋หวินเฟย จากนั้นก็องค์ชายสือจิน เป้าหมายของเขาคงไม่ใช่กำจัดสองคนนี้อย่างง่ายๆแน่
ที่สำคัญมากกว่า เขาต้องการโจมตีใส่ตัวแทนนิกายแบบไม่ไว้หน้า
องค์ชายสือจินต้องการชัยชนะมากกว่าไป๋หวินเฟย เขาไม่มีความอดทนเท่ากับไป๋หวินเฟยแม้แต่น้อย ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้น เพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์พ่ายแพ้มาก่อนในชีวิต เขาจึงมั่นใจในตนเองมากเกินไป เขาประมาทพลังที่แท้จริงของเย่ว์หยาง คิดว่าเขาสามารถเอาชนะได้โดยใช้วิธีแฝงเร้น
ในที่สุด ไม่เพียงแต่องค์ชายสือจินจะพ่ายแพ้การแข่งขันเท่านั้น แต่เขายังถูกเย่ว์หยางไล่ต้อนจนต้องกินยาต้องห้ามและเรียกคัมภีร์ออกมาเป็นเหตุให้เขาถูกผลักดันตกไปอยู่สุดขอบตารางของผู้แพ้
“ตอนนี้ความหวังของเขาริบหรี่แล้ว”
ไป๋หวินเฟยที่แอบมองดูการแข่งขันในที่นั่งชมส่ายหน้าเบาๆ
“วิธีที่นิกายเจดีย์ราชสีห์ปกป้องเขาอย่างอุกอาจถือเป็นความผิดพลาดของพวกเขา ข้าเกรงว่าน่าจะมีอะไรที่ดีกว่าให้ดูหลังจากนี้”
บุรุษลึกลับที่มากับไป๋หวินเฟยพูดเสริม
“ต่อไปนี้ จะมีเรื่องตื่นเต้นกันแล้ว”
“ต่อหน้าคนนับแสน พวกเขากล้าเย้ยการแข่งขันนี้ได้อย่างไร? มีนักสู้อยู่ที่นี่มากขนาดไหน พวกโง่ในนิกายเจดีย์ราชสีห์บ้าไปแล้วหรือ? แต่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด! ยิ่งทวีปมังกรทะยานมีเรื่องวุ่นวายมากขึ้น ข้อได้เปรียบก็จะมีแก่พวกเรามากขึ้น ถ้าพวกเขาเริ่มสู้กัน เราก็แค่ยืนดูอยู่ข้างๆ”
พอเห็นเย่ว์หยางกำลังเดินวนและโจมตีใส่องค์ชายสือจิน สายตาเยาะเย้ยของไป๋หวินเฟยกลับกลายเป็นเบิกกว้างขึ้น
ทันใดนั้น มหาอำมาตย์หัวเซี่ย, เฟิงขวงและอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าลุกขึ้นยืนจากที่นั่งชมพร้อมกัน
มหาอำมาตย์หัวเซี่ยเรียกคัมภีร์แพลตตินัมออกมา แผนที่บุปผาโลหิตบนคัมภีร์ของเขาส่องแสงบอกตำแหน่งจุดสีแดงไม่กี่จุด
บุรุษตาเหยี่ยวและราชันย์ฟ้าบูรพาผู้นั่งอยู่ห่างจากมหาอำมาตย์เล็กน้อยมองดูคัมภีร์ของเขาแล้วตะโกนอย่างตื่นตัวว่า
“ศัตรูกำลังบุก, วังหลวงต้าเซี่ยถูกโจมตี! เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร?”
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าขมวดคิ้ว
“นี่ไม่ใช่โจมตีธรรมดาแน่ ท่านทั้งสองกลับไปต้านรับพวกมัน ข้าต้องอยู่ที่นี่ บางที นี่อาจเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำก็ได้ นักเรียนระดับหัวกะทิรวมกันอยู่ที่นี่ ถ้าศัตรูกวาดต้อนพวกเขาทั้งหมด นั่นจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุด แม้ว่าความปลอดภัยของฝ่าบาทก็เรื่องสำคัญ แต่ข้าไม่สามารถทิ้งด็กๆ ไว้ที่นี่อย่างวางใจได้ ไปเถอะ”
มหาอำมาตย์คิดหนัก เดิมที เขาต้องการมาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แผนที่บุปผาโลหิตแสดงว่ามีศัตรูมากกว่าสองคนบุกวังหลวง เนื่องจากไม่เวลาคิด เขาจึงรีบหยิบม้วนเทเลพอร์ตออกมา พร้อมกับเฟิงขวง, เฟิงเสี่ยวหวิน, เสวี่ยเวิ่นเต้า, เหยียนเชียนจ้ง, อาจารย์ตาเหยี่ยวและคนอื่นๆ รีบกลับไปช่วยฮ่องเต้ แม้แต่ราชันฟ้าบูรพาก็ยังกลับไปช่วย อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ารีบกวักมือเรียกองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวมาอยู่ใกล้ๆ เขา
“สถานการณ์ไม่ดี รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่...”
เขายังพูดไม่ทันจบประโยค แสงสีดำก็ฉายลงมาจากท้องฟ้าทันที
บุรุษสองคนอยู่ในชุดแดงเปล่งแสงสว่างปรากฏออกมาจากฟ้า ทันทีที่ปรากฏตัวแล้ว พวกเขาร่วมมือกันสร้างวงเวทอักษรรูนขนาดยักษ์
สายเลือดสดๆ พ่นออกมาจากขวดสีดำที่พวกเขาถืออยู่ในมือ มันกระเซ็นไปทุกที่ราวกับเป็นฝนเลือด
อย่างไรก็ตาม ฝนเลือดไม่ได้ตกลงสู่พื้น แต่กลับปลิวอยู่กลางอากาศด้วยการบังคับจากพลังปราณของพวกเขา
เลือดสดๆ หมุนวนต่อเนื่องก่อตัวเป็นวังวนเลือด รูปลักษณ์สีดำถูกซ่อนอยู่ในวังวนเลือด กำลังจะเห็นได้ชัดเมื่อมันออกมาใกล้ทางออกโลกนี้มากขึ้น
“นี่ไม่ใช่นิกายเจดีย์ราชสีห์, ไม่ใช่นิกายพันปีศาจและไม่ใช่พวกวังปีศาจ.. เจ้าพวกนี้เป็นใครกัน?”
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ามั่นใจว่าบุรุษสองคนนี้เป็นศัตรู ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้น เขามั่นใจถึงร้อยละเก้าสิบว่าเป้าหมายของเขาก็คือเย่ว์หยาง สิ่งที่เขายังไม่รู้ก็คือสถานะของพวกเขา เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือผู้ชั่วร้ายจากนิกายบรรพตขจี? อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยได้ยินว่านิกายบรรพตขจีมียอดฝีมือแบบนี้
ก่อนที่อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าจะได้เตือนเย่ว์หยาง พอเห็นเย่ว์ปิงและอี้หนานวิ่งไปที่เวทีด้วยความกังวล เขารีบกระโจนไปห้ามพวกนางทันที
“รีบไปก่อน สองคนนี้อาจเป็นยอดฝีมือจากดินแดนนอกหอทงเทียน เชี่ยนเชี่ยนเร็วเข้า เปิดม้วนเทเลพอร์ตระดับทองพาทุกคนหนีออกไป!”
“มิติถูกผนึกไว้แล้ว!”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพบว่าม้วนเทเลพอร์ตของนางไม่สามารถใช้ได้ นางถึงกับหน้าซีดทันที
“ไปซะ ออกไปจากสถานที่นี้ เร็วเข้า! ศัตรูจะใช้เวลาไม่นานเพื่อเปิดการเชื่อมมิติ ถึงตอนนั้นอสูรจากอาณาจักรปีศาจนับล้านจะเทเลพอร์ตออกมาที่นี่”
จากนั้นอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าตะโกนเสียงดังบอกเฟิงชิซา, เหยียนพั่วจวินและคนอื่นๆ ที่เกร็งพลังปราณเตรียมต่อสู้
“พวกเจ้าบ้าไปแล้วหรือ? รีบออกไปซะ เรื่องเดียวที่พวกเจ้าต้องทำคือหนีไป!”
เวลานี้ ฝูงชนทั้งหมดตระหนักถึงเหตุเปลี่ยนแปลงและเริ่มจะหวาดกลัวกันแล้ว
พวกเขายังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
รองหัวหน้ากรรมการผู้ตัดสินเกร็งพลังปราณพร้อมกัน เตรียมเพิ่มพลังต่อสู้อย่างสูงสุดแล้วพุ่งเข้าหาบุรุษแปลกทั้งสองคนผู้อยู่ในท่ามกลางวงเวทสีดำ
พวกเขาทุกคนเป็นนักสู้ระดับ 6 หรือสูงกว่า แต่หัวหน้ากรรมการมีความแข็งแกร่งระดับ 7 อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังรบสูงสุดที่พวกเขามีกลับไม่มีผลอะไรต่อบุรุษชุดแดงทั้งสอง พวกเขาทั้งสองไม่ได้เรียกคัมภีร์ออกมา ไม่ได้กางโล่ป้องกันตนเอง ภายใต้การจู่โจมหนักหน่วง ร่างของพวกเขาแค่สั่นไหวเล็กน้อย แม้แต่ชุดที่แดงราวโลหิตก็ไม่ได้รับความเสียหาย
“นี่มัน.. นี่”
เมื่อหัวหน้ากรรมกรเห็นว่า เขาเหมือนกับโจมตีใส่ถ้ำเสือ เขาแทบไม่เชื่อสายตาว่าที่เห็นนี้จะเป็นเรื่องจริง
“พลังของพวกนักรบชาวมนุษย์ช่างอ่อนแอจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาทบอกว่ามีเจ้าเด็กมนุษย์ที่น่ารำคาญ 2-3 อยู่ในทวีปมังกรทะยานของพวกเจ้า ข้าก็คงไม่อยากมาทางนี้แน่”
บุรุษคนซ้ายมือรับพลังโจมตีจากหัวหน้ากรรมการและหนึ่งในรองหัวหน้ากรรมการ เยาะเย้ยขณะที่เขาไม่ได้รับอันตรายเลย
“อย่างนั้นพวกเจ้าทั้งคู่ก็ไม่ใช่มนุษย์..”
ด้วยทักษะญาณทิพย์ระดับ 4 เย่ว์หยางเห็นได้ชัดว่าบุรุษชุดแดงทั้งสองคนนี้คล้ายกับสาวมังกรที่ผู้เฒ่าหนานกงพามากับเขา พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจบูรพาที่จำแลงร่างเป็นมนุษย์
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=265