ตอนที่ 239 นางพญาหง...
เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ต่อสู้กับเย่ว์เทียน, เย่ว์เยี่ยนและเลี่ยปัน ในการประลองสามต่อสาม ใช้เวลาไม่นาน แต่ดุเดือดรุนแรงมาก
ไม่สิ พูดให้ถูก มันคงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก
เย่ว์เทียนและคนอื่นๆ ได้ชัยชนะในท้ายที่สุด แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก ในที่สุด เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนก็บาดเจ็บหนักทั้งคู่ ถึงขนาดกระอักโลหิตออกมาล้มลงหมดสติอยู่นอกเวที อย่างไรก็ตาม มีแต่เลี่ยปันที่อาบเลือดทนยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายในเวทีต่อสู้ได้... ทางด้านสถาบันฉางชุนเฉิง
พี่น้องตระกูลหลี่สภาพตัวไหม้เกรียม แม้ว่าหลังจากได้รับการรักษาจากอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว พวกเขาก็ยังไม่ได้สติฟื้นจากอาการบาดเจ็บ เย่คงมีความรู้สึกแจ่มชัด แต่ร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยมีดรอยฟันนับพันแผลและอาการช้ำให้เห็น
เลือดของเขายังคงไหลออกมาเป็นสายขณะที่เขากล้ำกลืนจัดการเย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนจนตกเวทีต่อสู้ ในที่สุดเขายังคงเหลือเรี่ยวแรงอึดสุดท้ายที่จะเอาชนะเลี่ยปัน โชคร้ายที่ในช่วงเวลาสำคัญนี้ เสือเงินของเย่ว์เทียนก็เล่นงานเขาจนตกเวทีด้วยเช่นกัน สถาบันฉางชุนเฉิงพ่ายแพ้การประลองสามต่อสาม แต่ไม่ใช่เพราะเขาฝีมืออ่อนแอ แต่เป็นเพราะกติกาการแข่งขัน
สถาบันฉางจิงได้รับชัยชนะ แต่พวกเขาก็ต้องจ่ายราคามหาศาลกับศึกครั้งนี้
ราชสีห์เพลิง, พยัคฆ์ทองและเสือดาววายุของพวกเขาตายทั้งหมดในการต่อสู้ขณะที่อินทรีศึกบาดเจ็บหนัก หุ่นเซนทอร์ระดับเงินสองตัวพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยฝีมือของด้วงจอมพลัง
เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนผู้มีชื่อและได้รับการยอมรับนับถือในหมู่ผู้เยาว์ก็ถูกเย่คงทุบจนกระอักเลือด ถือว่าพวกเขาสูญเสียชื่อเสียงไปมาก แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้ได้ดี แต่เย่คงก็มีความทรหดที่น่าตกใจ ในที่สุดก็เตะเย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนจนตกเวที
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ เย่คงและเจ้าอ้วนไห่ทั้งคู่ได้รับการคัดเลือกจากผู้ชมให้อยู่ในรายชื่อสิบสุดยอดนักรบที่แข็งแกร่ง
บางทีความแข็งแกร่งของพวกเขายังอ่อนกว่า แต่พวกเขาสามารถท้าทายสิบสุดยอดนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดได้
แม้แต่พี่น้องตระกูลหลี่ที่ไม่มีใครรู้จักก็ยังแสดงฝีมือด้วยจิตวิญญาณที่เสียสละสุดยอด ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับเลือกให้อยู่ในรายชื่อสามสิบสุดยอดนักสู้ หากปราศจากความเสียสละของพี่น้องตระกูลหลี่และการทำงานเป็นทีมที่สุดยอดแล้ว เย่คงอาจไม่สามารถเอาชนะเย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนได้ พี่น้องเหล่านี้ค่อนข้างจะเล่นกันตามบท มากกว่า 80% เป็นการต่อสู้ระยะใกล้กับเย่คง เพื่อให้ได้รับชัยชนะในศึกนี้
เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วสนาม
ผู้ชมทุกคนพร้อมใจกันลุกขึ้นจากที่นั่งยืนปรบมือให้กับทีมที่พ่ายแพ้อย่างสถาบันฉางชุนเฉิง
สถาบันฉางชุนเฉิงที่มักจะถูกมองว่าอ่อนแอในความคิดของคนดู เปลี่ยนไปแล้วและสร้างความประทับใจให้กับพวกเขาได้เป็นอย่างดี ผู้เข้าร่วมแข่งขันจากสถาบันฉางชุนเฉิงในปีนี้ห้าวหาญกันทุกคนและไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ ตอนแรกมีเจ้าอ้วนไห่และเย่ว์ปิง จากนั้นก็เป็นเย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ การยืนหยัดต่อสู้เพื่อชัยชนะของทีมนี้สร้างความประทับใจให้พวกเขาอย่างสุดซึ้ง
นอกจากนี้ควรจะบันทึกไว้ว่า พวกเขาต่อสู้กับทีมแชมป์เก่าจากเมื่อปีที่แล้ว ทีมจากสถาบันฉางจิงซึ่งประกอบด้วยเฟิงชิซา, เหยียนพั่วจวิน, เย่ว์เทียน, เย่ว์เยี่ยน, เลี่ยปันและคนอื่นๆ แม้ว่าจะมีผู้แข่งขันหน้าใหม่อย่างประมุขน้อยนิกายภูเขาหมอกไป๋หวินเฟยและองค์ชายสือจิน
ทีมสถาบันฉางชุนเฉิงก็ยังเป็นทีมโปรดของผู้ชมอยู่ ใครจะคาดกันว่าพวกเขาจะถูกเล่นงานอย่างหนักด้วยฝีมือของสถาบันฉางชุนเฉิงที่ทุกคนดูหมิ่นดูแคลน? อาจกล่าวได้ว่าสถาบันฉางชุนเฉิงน่าจะชนะมากกว่า แต่พวกเขาโชคร้ายจริงๆ ที่พ่ายแพ้ในการประลองสามคนตามกฎ... นอกจากมีฝีมือแข็งแกร่งมาก ประสบการณ์เข้าร่วมการแข่งขันของสถาบันฉางจิงก็ยังคงได้เปรียบพวกเขามากมาย
เมื่อเย่คงซัดเย่ว์เทียนตกเวที ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเย่ว์เทียนสั่งให้หุ่นพยัคฆ์เงินของเขาเขย่าพื้นเวทีต่อสู้และกระแทกเย่คงที่กำลังเสียหลักกระเด็นตกเวทีในนาทีสุดท้าย เพราะเรื่องนั้นจึงยากจะบอกได้ว่าใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในการประลองสามต่อสามนี้
แม้ว่าเลี่ยปันจะรวบรวมพลังยืนอยู่บนเวทีได้ แต่ทุกคนคิดว่าถ้าเย่คงไม่เสียหลักในช่วงสุดท้าย เลี่ยปันจะต้องแพ้เขาแน่นอน
เลี่ยปันไม่มีจิตใจนักสู้ตลอดเวลาเหมือนอย่างที่เย่คงมี ความสามารถทั่วไปของพวกเขาอาจจะเหนือกว่าเย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่เล็กน้อย แต่พวกเขาพ่ายแพ้เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ที่สู้ร่วมกันเหมือนกับว่าพวกเขามีร่างกายเดียวกัน....
เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ยังใช้รูปแบบการต่อสู้สามต่อสามซึ่งเป็นที่นิยมมากเรียกว่า “สามศักดิ์สิทธิ์” สมาชิกสองคนจะเสียสละตนเองสู้กับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด เพื่อให้สมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดในทีมตนอยู่ในสภาพดีที่สุด ขณะเดียวกัน สมาชิกสองคนจะคอยป้องกันการโจมตีทุกอย่างจากศัตรูเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของสมาชิกในทีมจนถึงที่สุด
ใช่ว่าทุกคนจะยินดีเสียสละตัวเองทำหน้าที่สนับสนุนบทบาทการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่พี่น้องตระกูลหลี่ทำแบบนั้น ทีมของพวกเขาสามารถเปล่งประสิทธิภาพได้เต็มร้อย
“เป็นแผนสู้ที่น่าสนใจ!”
ไป๋หวินเฟยยิ้มมุมปากและพูดว่า
“ตอนแรกข้าไม่สนใจการต่อสู้เป็นทีมเท่าใดนัก แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะเป็นคนเอาชนะทีมฉางจิงในครั้งต่อไป! ข้าต้องชนะเลิศปีนี้ให้ได้ จากนั้น ข้าจะรอประลองกับสถาบันฉางชุนเฉิงในปีต่อไป...”
“ท่านพูดถึงสถาบันฉางจิงหรือ? อย่าคิดว่าศัตรูผู้แข็งแกร่งจะมีแค่เพียงสถาบันฉางจิงและฉางชุนเฉิงสิ!”
ตัวแทนของสถาบันหมาป่าเทา องค์ชายสือจินพึมพำขณะที่สายตาของเขาแสดงอาการเยาะเย้ย
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่ารีบนำเย่คงและคนอื่นๆ ไปรับการรักษา
เย่ว์หยางมองดูเขาและทราบว่า ความจริงอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ผิวปากอย่างมีความสุข เย่ว์หยางถึงกับพูดไม่ออก
แต่นั่นก็ไม่น่าแปลกใจ ปกติอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าจะพกพาความพ่ายแพ้ย่อยยับกลับไปแทบทุกครั้งที่เขาพานักเรียนมาที่นี่
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ การกระทำของเจ้าอ้วนไห่, เย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ได้เปลี่ยนไปทำให้สถาบันฉางชุนเฉิงเป็นที่ประทับใจและทำให้เขาพลอยได้หน้าไปด้วย ในที่สุดอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าก็มีโอกาสได้ยืดอกเชิดหน้าได้บ้าง ดังนั้นเขาจึงดีใจและมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
วันที่สอง การแข่งขันแบบพบกันหมดในกลุ่มเริ่มแล้ว
เนื่องจากการแข่งขันระหว่างเสวี่ยทันหลางและเย่ว์หยาง เสวี่ยทันหลางเสนอความคิดยอมแพ้การแข่งขัน หลังจากนั้นเสวี่ยทันหลางถูกจัดให้สู้กับองค์ชายสือจิน ขณะที่เย่ว์หยางสู้กับประมุขน้อยนิกายภูเขาหมอกไป๋หวินเฟย
แม้ว่าเป็นเพียงการแข่งขันพบกันหมดในกลุ่มเล็กๆ แต่การแข่งขันในกลุ่มที่ 3 กลายเป็นที่จับตาดูมากที่สุดของการแข่งขัน เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าชมการแข่งขันที่ดุเดือดนี้มากขึ้น ทางเกาะก้วนจวินตัดสินใจถือเอาการแข่งขันแบบพบกันหมดนี้ให้ใช้สนามแข่งขันหลักที่ปกติจะใช้แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ
นี่เป็นสนามรูปวงกลมก่อสร้างในภูเขาหินขนาดใหญ่ เวทีต่อสู้จะอยู่ในหุบเขาข้างล่าง
มีการก่อสร้างที่นั่งไว้ถึง 50,000 ที่นั่งและผู้ชมที่มากเกินกว่านั้นสามารถนั่งดูบนภูเขาได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีที่นั่งและระยะห่างจากเวทีต่อสู้อาจจะไกลเกินไปบ้าง แต่พวกเขาก็สามารถนั่งดูการแข่งขันจากด้านบนได้อย่างเพลิดเพลิน
ที่สำคัญที่สุด ผู้ชมที่ไม่ได้จองที่นั่งไว้ก็สามารถดูได้ฟรี การเตรียมการเช่นนี้ถูกกับรสนิยมของทหารรับจ้างยิ่งนัก
แน่นอนว่า สามารถดูได้ฟรีก็หมายความว่าพวกเขาต้องมาดูด้วยความสมัครใจเอง ทางฝ่ายจัดการแข่งขันจะไม่รับรองความปลอดภัยให้พวกเขา ถ้าพวกทหารรับจ้างเหล่านี้ถูกทำร้ายโดยอุบัติเหตุหรือรับบาดเจ็บจากสัตว์อสูร ทางฝ่ายจัดการแข่งขันจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นคราวเคราะห์ร้ายของพวกเขาเอง
“ข้าหวังว่าผู้ชมจะต้องใส่ใจกับความปลอดภัยไว้ก่อน...”
ระหว่างแข่งขันพบกันหมดในกลุ่มที่สาม กลุ่มมรณะระหว่างเย่ว์หยางและไป๋หวินเฟย กรรมการเจ็ดคนได้รับมอบหมายให้ดูแลการแข่งขัน กรรมการสี่คนประจำการอยู่ที่มุมเวทีทั้งสี่ นอกจากจะคอยจับตาสถานการณ์การต่อสู้ พวกเขายังจะคอยดูแลความปลอดภัยของผู้ชมในกรณีมีเหตุฉุกเฉินอีกด้วย
สำหรับกรรมการอีกสามคน คนหนึ่งเป็นหัวหน้ากรรมการ ขณะที่อีกสองคนเป็นรองหัวหน้ากรรมการ นอกจากเป็นรอบชิงชนะเลิศ อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ใช้กรรมการถึงเจ็ดคนทำหน้าที่ตัดสินการแข่งขันแบบพบกันหมด
องครักษ์เกราะเงินเกินกว่าร้อยนายกระจายอยู่รอบขอบเวทีต่อสู้ เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้ชม
พระราชา, ราชินี, เจ้าชายและเจ้าหญิงจากอาณาจักรต่างๆ เดินทางมาถึงสนามแข่งขัน แม้ว่าจักรพรรดิของอาณาจักรต้าเซี่ย, เทียนหลัวและสือจินไม่ได้มาชมการแข่งขัน แต่ก็ส่งตัวแทนพระองค์มาร่วมเข้าชม
ก่อนที่เย่ว์หยางและไป๋หวินเฟยจะขึ้นเวที ทั่วทั้งสนามแข่งขันก็เต็มไปด้วยผู้ชมแล้ว น่าจะมากกว่าแสนคนเต็มความจุสนามแข่งขัน
นี่เป็นบันทึกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์
ไม่เคยมีผู้ชมมากมายขนาดนี้เข้าชมการแข่งขันสุดยอดร้อยโรงเรียนมาก่อน
นี่รวมถึงรอบชิงชนะเลิศเมื่อปีก่อน มีผู้ชมมากที่สุดราวๆ เจ็ดหมื่นคนในรอบชิงชนะเลิศ ปัจจุบันนี้นี่เป็นสถิติที่น่าตกใจ คือมีผู้ชมอย่างน้อยแสนคนเข้ามาชมการแข่งขันครั้งนี้มากเป็นประวัติการณ์
“ข้าขอเลือกสู้แบบไม่จำกัด”
เย่ว์หยางยื่นข้อเสนอ และไป๋หวินเฟยก็เห็นด้วยเช่นกัน ต่อสู้แบบไม่จำกัดหมายความว่าไม่มีการจำกัดเวลา ไม่มีหมดเวลา ไม่มีการพัก ไม่มีข้อจำกัดชนิดอสูรทีเรียกและรูปแบบการต่อสู้ ในช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากฆ่าศัตรู ก่อนที่ศัตรูจะยอมรับความพ่ายแพ้ ผู้แข่งขันสามารถโจมตีคู่ต่อสู้ด้วยวิธีใดๆ ก็ได้
“พวกเจ้ามีเวลาเตรียมตัวสู้สามนาที จะไปเตรียมความพร้อมที่ข้างล่างเวทีหรือบนเวทีก็ได้ หลังจากผ่านไปสามนาที ข้าจะประกาศเริ่มการแข่งขัน หลังจากนั้นพวกเจ้าจึงค่อยสู้กัน” หัวหน้ากรรมการก้าวขึ้นเวทีและบอกให้ผู้แข่งขันทั้งสองโค้งคำนับให้กันและกันก่อนจะไปเตรียมการต่อสู้ของตน
“ข้าไป๋หวินเฟย โปรดชี้แนะข้าด้วย”
ประมุขน้อยนิกายภูเขาหมอกไป๋หวินเฟยเสแสร้งเป็นสุภาพชนขณะประสานมือโค้งคำนับ แต่น้ำเสียงมีแววหยิ่งยโส
“ไม่เห็นจำเป็นต้องมากพิธีรีตรอง เราต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองอยู่แล้ว”
เย่ว์หยางประสานมือตอบแบบขอไปที ตอบเสร็จก็กระโดดลงเวทีไปทักทายอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า อาจารย์จิ้งจอกเฒ่า อาจารย์ตาเหยี่ยวเซี่ยโหวเว่ยเลี่ยและนักเรียนชั้นเรียนมรณะต่างก็มากันทั้งหมดเพื่อช่วยกันเชียร์เย่ว์หยาง แม้แต่นักรบพันกระดูกผุอย่างแม่ทัพเฟิงขวงผู้มักจะติดตามเสด็จจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้, มหาอำมาตย์, เจ้าเมืองไป๋ฉือและคนอื่นๆ ก็เข้ามาร่วมเชียร์ด้วย
“สู้ให้เต็มที่เลยนะ! เจ้าต้องทุบเอาให้เขาลงไปคลานหาฟันตัวเองบนพื้นเลยนะ”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนถึงกับให้กำลังใจเย่ว์หยาง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดได้ยากมาก
อย่างไรก็ตาม เจ้าเมืองโล่วฮัวผู้ใจกว้างมักจะอยู่ตรงนั้นเพื่อเชียร์เย่ว์หยางมาตลอด กลับไปนั่งอยู่ห่างจากเขา ราวกับว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเขา
สาเหตุก็เพราะว่าพระบิดาของนาง ราชันย์ฟ้าบูรพาก็มาชมด้วยและยังไม่หยุดตะโกนเชียร์เย่ว์หยางว่า
“ไอ้ลูกเขย! เขยของข้า!”
นี่เองทำให้นางรู้สึกอายมาก ดังนั้นนางตกลงใจปลีกตัวอยู่ห่างๆ จากบิดานาง อี้หนานก็ไม่ต่างกัน ป้าของนางก็มาด้วยเช่นกัน ดังนั้นอี้หนานจึงฉุดเย่ว์ปิงไปร่วมนั่งชมการแข่งขันร่วมกับป้าของนาง แม้แต่องค์ชายเทียนหลัวก็มา พร้อมทั้งองครักษ์แฟนคลับล้อมรอบ ทีนั้นเองเย่ว์หยางถึงได้ตระหนักว่ามีองค์ชายเทียนหลัวอยู่ในโลกนี้จริงๆ
และเขายังเป็นญาติผู้น้องของโล่วฮัว ที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ องค์ชายเทียนหลัวผู้หล่อเหลาและงามสง่านี้ ความจริงเป็นโอรสของราชันย์ฟ้าปัจจิม... เย่ว์หยางไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ราชันย์ฟ้าปัจจิมดูเหมือนคนป่าเถื่อนมากกว่าเป็นราชันย์ฟ้าบูรพาเสียอีก แล้วเขามีโอรสที่หล่อเหลาได้อย่างไร?
แม้ความจริงที่ว่าราชันย์ฟ้าบูรพาจะมีธิดาสาวสวยอย่างเจ้าเมืองโล่วฮัวแต่ก็มีปริศนาบางอย่างที่เขาไม่มีทางเข้าใจเลย
จักรพรรดิหัวซิ่วรี่ มีแต่เพียงพระธิดาไม่มีโอรส ดังนั้นองค์ชายเทียนหลัวนี้บางทีอาจเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์คนต่อไปก็ได้
องค์ชายเทียนหลัวมองมาที่เย่ว์หยางและยิ้มให้ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มแฟนคลับของเขา... เขาดูแตกต่างจากสาวงามอมโรค องค์ชายเทียนหลัวนี้ยิ้มแย้มได้ง่าย และไม่มีประกายเศร้าโศกในดวงตา ดูราวกับว่าเขาเป็นเจ้าชายแสงอาทิตย์มากกว่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งก็คือ ที่มุมหนึ่งของภูเขาห่างจากสายตาผู้คน หญิงงามลึกลับผู้รักการอ่าน อู๋เสียและหญิงงามอมโรคนั่งเคียงข้างกัน ทั้งสองนางมีผ้าคลุมหน้าบางๆและอยู่ในชุดยาว คลุมทั้งตัวและนั่งอยู่ในมุมเขาด้านหนึ่งพยายามอย่างมากไม่ให้ดึงดูดสายตาใคร
อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางสามารถจำพวกนางในท่ามกลางมหาชนได้ทันที นางคือหญิงผู้เป็นที่รักที่สุดของเขา แน่นอน เขาจะจำนางเป็นคนอื่นได้อย่างไร เมื่อหญิงงามอมโรครู้ตัวว่าเย่ว์หยางกำลังมองมาทางพวกนาง นางโบกมือตอบรับ หญิงงามลึกลับกลับตรงกันข้าม ไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อยและยังคงอ่านหนังสือเงียบๆ ต่อไป เหมือนกับว่านางไม่ได้สังเกตเห็นเย่ว์หยางเลย
เย่ว์หยางเพียงนึกเสียใจว่า เพราะศัตรูติดตามร่องรอยพวกเขา แม่สี่และน้องสาวตัวน้อยจึงไม่อาจมาชมการแข่งขันนี้ได้
มิฉะนั้น คงเป็นสถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบ
“ผู้แข่งขันทั้งสอง พวกเจ้ามีเวลาอีกหนึ่งนาที โปรดมาที่เวทีเพื่อเริ่มการแข่งขัน”
หัวหน้ากรรมการความจริงเตือนเย่ว์หยาง เพราะไป๋หวินเฟยขึ้นไปอยู่บนเวทีแต่แรกแล้ว เขาเรียกจ้าวมังกรทอง อสูรชั้นทองระดับ 7 พวกที่มาเชียร์เขาส่งเสียงเชียร์อย่างตื่นเต้น
ในใจของผู้ชมโดยทั่วไป เจ้านักเรียนบอดไตตัน ไม่มีทางต่อกรไป๋หวินเฟยได้
จ้าวมังกรทอง อสูรทองระดับ 7 เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอจะทำลายเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว
พวกเขาเข้ามาเพื่อดูไป๋หวินเฟยกดดันคู่ต่อสู้ ทั้งนี้เป็นเพราะในการแข่งขันรอบก่อน ไป๋หวินเฟยชอบเล่นงานกับคู่ต่อสู้ให้มากเท่าที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลั่นแกล้งพวกเขาโดยไม่มีความปราณี เขายังบังคับคู่ต่อสู้ของเขาให้ขอบคุณเขา ที่อุตส่าห์ให้คำชี้แนะแก่พวกเขา นี่คือสิ่งที่ผู้ชมต้องการดูที่สุด เจ้านักเรียนบอดผู้นี้ จะเป็นเหมือนคู่ต่อสู้คนก่อนของไป๋หวินเฟย ที่คุกเข่าลงกับพื้นน้ำตาไหลพรากร้องขอความเมตตาต่อหน้าไป๋หวินเฟยในที่สุดไหม?
เย่ว์หยางก้าวขึ้นบนเวที พลางล้วงหน้ากากทองที่เขาได้มาจากวิหารคนคู่ แล้วสวมลงช้าๆ
ปราณปีศาจที่ถูกเก็บกดไว้ก็สว่างวาบออกจากร่างเขาทันที
เมื่อผู้ชมเห็นหน้ากากครึ่งร่ำไห้ครึ่งยิ้มแย้มของเขาและรู้สึกถึงปราณปีศาจที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา ทำให้ถึงกับสั่นด้วยความกลัว... เจ้านักเรียนบอดผู้ไม่ธรรมดานี้ ไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นได้ง่ายๆ บางทีคงเป็นเรื่องยากที่เห็นเขาคุกเข่าลงกับพื้นอ้อนวอนขอความเมตตาทั้งน้ำตา
“เหลืออีก 50 วินาที นักเรียนไตตัน เจ้าสามารถเรียกอสูรออกมาได้ก่อน ข้าจะเตือนเจ้าอีกครั้ง เมื่อเหลือเวลาอีก 10 วินาที ตอนนี้ เจ้าเตรียมตัวครั้งสุดท้ายได้แล้ว”
หัวหน้ากรรมการเตือนเย่ว์หยางอีกครั้ง เขาไม่ต้องการเห็นจ้าวมังกรทองของไป๋หวินเฟยเตะเย่ว์หยางกระเด็นออกนอกเวทีในครั้งเดียว เขาอยากให้ผู้แข่งขันทั้งสองสู้กันเต็มที่ ให้รุนแรงมากขึ้น ให้ดีกว่าที่ควรเป็น
“ข้าจะเรียกสัตว์อสูรแบบไหนดีนะ?”
ดูเหมือนเย่ว์หยางลำบากใจเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ผู้ชมจำนวนมากเริ่มหัวเราะลั่น แน่นอน ไม่ว่าเขาจะเรียกอสูรชนิดไหนออกมา เขาก็ไม่สามารถสู้กับจ้าวมังกรทองระดับ 7 ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ที่น่าขันยิ่งกว่าก็คือเจ้าไตตันผู้นี้เคยเรียกต้นดอกหนามและหนูเบญจธาตุมาก่อนแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นยอดฝีมือเชิงยุทธ แต่ในการเรียกสัตว์อสูรออกมา เขาเป็นแค่ตัวตลก
“เจ้าโง่, นี่ไม่ใช่ที่สำหรับเจ้า!”
สาวกนิกายผู้เป็นสหายคนหนึ่งของไป๋หวินเฟยยืนตะโกนด้วยเสียงอันดัง และหัวเราะเยาะเย่ว์หยางที่มาผิดที่
ถ้าเย่ว์หยางเข้าแข่งขันต่อสู้ในการแข่งขันประลองวิทยายุทธ เขาอาจได้รับการจัดอันดับดีๆ ก็ได้
แต่ในการแข่งขันประเภทบุคคลแบบความสามารถรวมนี้ ท่านจะต้องสู้ด้วยสัตว์อสูรและทักษะวิทยายุทธของท่าน เขามีดีแค่ทักษะวิทยายุทธ แต่จะเป็นตัวตลกหากว่าเขาต้องการสู้กับไป๋หวินเฟยผู้เชี่ยวชาญทั้งสองทักษะคือวิทยายุทธและใช้สัตว์อสูร...
ในการแข่งประเภทบุคคล ความสามารถรวม มีกติกาบังคับว่าต้องเรียกสัตว์อสูรชนิดหนึ่งออกมา ดังนั้นเย่ว์หยางจึงเรียกหุ่นหนูอีกครั้ง
คราวนี้ผู้ชมหัวเราะแทบหายใจไม่ทัน หลายคนต้องอ้าปากหายใจ เนื่องจากหัวเราะมากเกินไปจนหายใจไม่ทัน
เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเอาชนะจ้าวมังกรทองด้วยหุ่นหนูห้าตัว?
นี่อาจเป็นตลกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขันสุดยอดร้อยโรงเรียน...
“นักเรียนไตตัน! แน่ใจนะว่าเจ้าไม่ต้องการเรียกต้นดอกหนามของเจ้า? ต้นดอกหนามแข็งแกร่งมากนะ!”
ไป๋หวินเฟยพยายามอย่างดีที่สุดที่จะรักษาน้ำเสียงให้ดูอ่อนโยน วิธีนี้ทำให้คำพูดถากถางของเขาได้ยินชัดมาก
“ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น เจ้าตัวนี้มันก็แค่จิ้งเหลนที่พ่นไฟได้ ข้ายังไม่ต้องเรียกต้นดอกหนามของข้าหรอก!”
เย่ว์หยางยังคงสงบและสำรวมขณะที่เขาเรียกตั๊กแตนมรณะ อสูรทองระดับ 3 ที่เพิ่งจะเติบโตเต็มวัยออกมา แม้ว่ามันยังไม่โตเต็มวัยนัก แต่มันก็ยังสามารถสู้ศึกได้
“เอ๋?”
ผู้ชมตะลึงค้าง เจ้านักเรียนบอดประหลาดผู้นี้มีอสูรชั้นทองกับเขาด้วยหรือนี่?
“ตั๊กแตนมรณะหรือ? ไม่เลว!”
ไป๋หวินเฟยสั่นเล็กน้อย แต่เขารีบกลบเกลื่อนโดยเร็ว แม้ว่าตั๊กแตนมรณะ อสูรทองระดับ 3 จะเป็นดาวข่มของมังกรของเขา แต่มันยังมีระดับที่แตกต่างกันอยู่มาก จ้าวมังกรทองของเขาเป็นอสูรทองระดับ 7 แม้จะเป็นแค่พลังตะปบด้วยกรงเล็บของมัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตั๊กแตนมรณะจะทนได้เลย นัยน์ตาของไป๋หวินเฟยฉายประกายวูบหนึ่ง ขณะที่เขาเรียกอสูรออกมาอีกตัวหนึ่ง เป็นผึ้งทองเพชฌฆาต อสูรทองระดับ 5
พิษของผึ้งพชรฆาตเป็นหนี่งในพิษมรณะที่รุนแรงที่สุดในบรรดาอสูรสายแมลง
แม้ว่าผึ้งเพชฌฆาตอสูรระดับทอง จะไม่ใช่ดาวข่มของตั๊กแตนมรณะ แต่มันก็สามารถเอาชนะตั๊กแตนมรณะด้วยความเร็วและพิษของมัน
ไป๋หวินเฟยเลือกสัตว์อสูรไว้กำราบเย่ว์หยางได้อย่างราบคาบ เขาต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้จ้าวมังกรทองก็เอาชนะอสูรของเย่ว์หยางได้...มันเหมือนกับว่าเขาได้ประกาศตัวว่า
“เจ้ากล้าแข่งขันกับประมุขน้อยนิกายภูเขาหมอกในเรื่องสัตว์อสูรหรือ? ช่างเหมือนขอทานพยายามเทียบชั้นกับเศรษฐีเพื่อเปรียบเทียบว่าใครมีเงินมากกว่ากัน!”
“ผึ้งเพชฌฆาตหรือ? ทำไมเจ้าเรียกสัตว์อสูรที่มีพลังมากอย่างนั้นเล่า? จะให้ข้ากลัวจนตายหรือ!”
เย่ว์หยางโบกมือไปที่ข้างล่างเวที
“ดูเหมือนข้าต้องใช้ตัวช่วยจากข้างนอกเสียแล้ว!”
บุคคลลึกลับสวมชุดคลุมทั้งตัวสองคนกระโดดขึ้นมาบนเวที หัวหน้ากรรมการรีบเข้าไปห้ามพวกเขา
“รอเดี๋ยว นี่ไม่ใช่การแข่งขันสามต่อสาม พวกเจ้าไม่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ หมดเวลาแล้ว! รีบลงไปจากเวทีได้แล้ว มิฉะนั้นข้าจะตัดสิทธิ์นักเรียนไตตันข้อหาละเมิดกฎการแข่งขัน ลงไป...เดี่ยวนี้!”
ผู้ชมเริ่มหัวเราะอีกครั้ง เจ้าไตตันผู้นี้ไม่รู้แม้แต่กฎการแข่งขัน แล้วยังกล้าขึ้นมาสู้อีก
ทันใดนั้น หนึ่งในบุคคลลึกลับถอดชุดคลุมออกเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงาม ทรงเสน่ห์ ขณะที่นางขยับริมฝีปากสีชมพูพูด เสียงของนางไพเราะเหมือนสวรรค์ประทานให้ การออกสำเนียงของนางเพี้ยนเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นเสียงหวานหูอยู่ดี
“อสูรทั้งหมดที่เป็นของเจ้านาย สามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ได้ ใช่ไหม?”
หัวหน้ากรรมการตะลึงงัน
แน่นอนว่าอสูรได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วม แต่พวกเจ้าเป็นมนุษย์... ทันใดนั้น เขาตระหนักได้ในทันทีและตะโกนว่า
“พวกเจ้าทั้งคู่ เป็นอสูรหรือ?”
สาวงามเจ้าเสน่ห์ฉีกชุดคลุมจนขาดกระจุยและกางปีกสีแพลตตินัมของนางออก ทะยานขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะกลับลงมาอยู่บนพื้นเหมือนกับเป็นนางฟ้าตนหนึ่ง นางถือมีดทองฆ่ามังกรในมือซ้ายและมีดเงินทำลายดวงตาในมือข้างขวา ทั้งร่างนางอยู่ในชุดเกราะแพลตตินัมคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเย่ว์หยาง พูดกับเขาอย่างเทิดทูนด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า
“ข้าคืออสูรแน่นอน ข้าคือนางพญากระหายเลือด ได้ทำสัญญากับนายท่านแล้ว ข้ามีนามว่า”หง“(แดง)”
เมื่อนางพูดออกมาแบบนั้น ทั่วทั้งเวทีตกอยู่ในความเงียบอย่างสิ้นเชิง
อสูรรูปมนุษย์ที่พูดได้หรือนี่?
นี่... ความจริงแล้ว นี่เป็นอสูรระดับใดกันแน่?
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=259