ตอนที่ 238 ก้อนหินให้ก้าวข้าม
“เย่ว์ปิงผู้นี้ นางไม่เหมาะจะเข้าร่วมแข่งขันเสียเลย นางอาจจะเชี่ยวชาญในทักษะต่อสู้ที่แท้จริงก็ได้”
ไป๋หวินเฟยขมวดคิ้วพลางถอนหายใจ
“ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะนี่คือการแข่งขัน หากนางเผชิญหน้ากับศัตรูในระดับเดียวกับเฟิงชิซา ผลการต่อสู้คงจะเป็นอีกอย่าง คุณชายสามตระกูลเย่ว์สอนวิชาสังหารให้น้องสาวไว้มากเหลือเกิน แต่ว่ามันไม่เหมาะจะเอามาใช้ในการแข่งขัน”
“ท่านกำลังบอกว่าฝีมือต่อสู้ที่แท้จริงของเย่ว์ปิงความจริงยังดีกว่านี้อีกหรือ?”
เซี่ยเชียนเริ่นตกใจเล็กน้อย
“นอกจากวงเวทอักษรรูนที่อันตรายสุดขีดนั่นแล้ว เย่ว์ปิงนั่นต้องมีไม้ตายรูปแบบอื่นอีก ประการแรก นางสามารถเอาชนะเฟิงชิซาได้ในที่สุดแน่นอน นี่ก็หมายความว่านางไม่ได้ใช้ทักษะต่อสู้อย่างสุดกำลัง นางยังคงมีท่าไม้ตายเหลืออยู่ ประการที่สอง เมื่อสูญเสียการควบคุมตนเอง นางกลับเลือกใช้วงจักรอักษรรูน นี่หมายความว่านอกจากวงจักรอักษรรูนแล้ว นางต้องมีไม้ตายอื่นที่สามารถฆ่าศัตรูได้ทันที แต่เป็นเพราะว่านางใจดีเกินไป นางไม่ต้องการใช้ท่าสังหารนั้นกับเฟิงชิซาแม้ว่านางจะหมดสติ เย่ว์ปิงผู้นี้มีแต่ทักษะสังหาร ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบจากกฎการแข่งขันอย่างใหญ่หลวง ถ้านางพบกับศัตรูที่มีฝีมือระดับเดียวกับเฟิงชิซาที่นางจำเป็นต้องฆ่า นางไม่จำเป็นต้องใช้วงจักรอักษรรูนทำร้ายศัตรูนางจนสาหัส อย่างไรก็ตาม ความที่นางมีนิสัยอ่อนโยนกลับเป็นจุดอ่อนใหญ่หลวงของนาง ถ้านางไม่พยายามแก้ไขจุดอ่อนนี้ นางก็ไม่มีทางขึ้นไปเป็นนักรบระดับสูงได้!”
คำพูดสุดท้ายของไป๋หวินเฟยพูดด้วยเสียงเบา
แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ไกลจากเวทีต่อสู้และการสนทนาของพวกเขาจะไม่มีผู้ใดได้ยินจนกว่าพวกเขาจะตะโกนออกไป เขาเกรงว่าเย่ว์หยางและคนอื่นๆ จะได้ยินว่าเขาพบจุดอ่อนของเย่ว์ปิงแล้ว ดังนั้น เขาจึงลดเสียงลงและพูดกระซิบแทน
เซี่ยเชียนเริ่นไม่อาจทำอะไรได้ แต่ก็ยังชื่นชมประมุขน้อยจอมหยิ่งผู้นี้ แม้ว่าไป๋หวินเฟยจะเป็นคนที่หยิ่งยโสมากก็ตาม แต่เขามีความคิดแยกแยะที่ชาญฉลาดอย่างแท้จริง
เกี่ยวกับการแจกแจงของไป๋หวินเฟย เซี่ยเชียนเริ่นไม่ได้คัดค้านเลยแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกัน เซี่ยเชียนเริ่นก็ยังไม่บอกความจริงกับไป๋หวินเฟย ถ้าพวกเขาสามารถย้อนเวลากลับไปเมื่อปีที่ผ่านมา พวกเขาจะเห็นได้ว่าพลังยุทธของเย่ว์ปิงบางทีอาจน้อยกว่าเฟิงชิซาถึงหนึ่งในสิบ อย่างไรก็ตาม ในชั่วเวลาเพียงปีเดียว นางสามารถก้าวหน้าจนถึงจุดที่นางต้านรับหนึ่งในสามดาวเพชรฆาต เฟิงชิซาได้ ด้วยพลังฝึกปรือที่เพิ่มขึ้นเร็วขนาดนั้น ใครเล่าจะกล้าสงสัยว่าสักวันเย่ว์ปิงคงจะอยู่ในกลุ่มของนักสู้ที่มีระดับแข็งแกร่งที่สุด?
นอกจากนางจะมีพรสวรรค์ของตนเป็นปกติแล้ว นางยังมีพี่ชายที่ไม่ธรรมดาผู้บรรลุขอบเขตปราณก่อกำเนิดอีกด้วย
ภายใต้การชี้แนะของพี่ชายของนาง ความก้าวหน้า อนาคตของนาง เป็นไปได้อย่างไรที่ไป๋หวินเฟยจะคาดการณ์ถึงสิ่งเหล่านั้น?
“เย่ว์ปิง, อย่าตายนะ”
เจ้าอ้วนไห่ร้องไห้จนขี้มูกโป่ง
“นางปลอดภัย แค่เหนื่อยเท่านั้นเอง พวกเจ้าควรจะสู้ต่อไป จะชนะหรือแพ้ไม่สำคัญ ขอให้มั่นใจว่าทำอย่างสุดความสามารถแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียใจ”
เย่ว์หยางตระหนักว่าวงจักรล้างโลกในตัวของเย่ว์ปิงได้หลอมรวมกันอีกครั้งอย่างอัศจรรย์ นอกจากกินพลังงานจากนางมากมายแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบอื่นใด มันแตกต่างจากข่าวลือที่เขาเคยได้ยินมาอย่างสิ้นเชิงว่า เป็นเรื่องยากขนาดไหนที่จะควบคุมวงจักรล้างโลกได้
เมื่อเขาพบว่าเย่ว์ปิงยังคงปลอดภัย เขารู้สึกเหมือนปลดภาระที่หนักอึ้งในใจออกไปเสียได้
พอเขาให้กำลังใจเย่คง, เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ เขารีบอุ้มเย่ว์ปิงกลับไปที่จุดนั่งชมส่วนตัวของเขา และถ่ายพลังปราณก่อกำเนิดให้นางตลอดทาง พยายามเติมพลังให้นางแทนพลังที่หมดไปจากตัวนาง
เย่ว์หวี่และอี้หนานไม่สนใจดูการแข่งขันอีกต่อไป พวกนางรีบตามเย่ว์หยางไปทันที กลุ่มนักเรียนที่พวกเขาเดินผ่านต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้เย่ว์ปิง แม้ว่าเย่ว์ปิงจะพ่ายแพ้การแข่งขัน แต่นางสู้กับเฟิงชิซา และสามารถตอบโต้ใส่เฟิงชิซาได้ เรียกว่านางชนะใจคนดูทุกคน
จะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่มีความสามารถพอจะสู้กับสามดาวเพชฌฆาตได้?
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังคงเป็นวัยรุ่น ยังเป็นสาวน้อยคนหนึ่ง!
“มาสู้กันสามต่อสามดีกว่า!”
พอเห็นเย่ว์หยางอุ้มเย่ว์ปิงที่หมดสติกลับไปยังจุดนั่งชมส่วนบุคคล เย่คงรู้สึกว่าอารมณ์โกรธกำลังจะปะทุออกมาโดยมิอาจยับยั้งได้ ด้วยความโกรธในใจเขานี้เอง เขาจึงท้าทายเย่ว์เทียน, เย่ว์เยี่ยนและเลี่ยปันสู้กันสามต่อสาม
“กำลังต้องการพอดี”
เย่ว์เทียน, เย่ว์เยี่ยนและเลี่ยปันมองหน้ากันเองและขออนุญาตจากเหยียนพั่วจวินและเฟิงชิซาก่อนที่เขาจะรับคำท้าของเย่คง
ความจริง พวกเขาไม่ต้องรับคำท้าของเย่คงก็ได้ พวกเขาก็แค่ต้องเอาชนะเย่คงผู้จะขึ้นแข่งคนต่อไป ก็จะเอาชนะการแข่งขันไปได้เลย
แต่คนหยิ่งอย่างเย่ว์เทียนไม่ต้องการให้เหยียนพั่วจวินและเฟิงชิซาสนุกตามลำพัง แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือในฐานะสมาชิกตระกูลเย่ว์ เขายอมทนให้เย่ว์หยางและเย่ว์ปิงมีชื่อเสียงมากกว่าเขาไม่ได้ แม้แต่เย่ว์ปิงยังเกือบจะเอาชนะเฟิงชิซาได้ เขาเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลจะให้แพ้ได้อย่างไร
เย่ว์หยางฝึกฝีมือจนก้าวหน้าผิดปกติ ไม่ว่าจะเก่งมากแค่ไหน เขาก็แค่ได้แต่ไล่ตามเย่ว์หยาง ไม่มีหวังที่จะเอาชนะเขาได้
อย่างไรก็ตามเย่ว์เทียนจะไม่ยอมให้สาวน้อยอย่างเย่ว์ปิงแทนที่พวกเขากลายเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขา ช่วงระหว่างปีใหม่ สัตว์อสูรของพวกเขาถูกเย่ว์หยางฆ่าไปมาก ดังนั้นความสามารถของเขาจึงลดลงอย่างมาก พวกเขาไม่อาจเอาชนะสามดาวเพชฌฆาตหรือไป๋หวินเฟยและองค์ชายสือจินและคนอื่นๆ ได้ แต่พวกเขายังคงมั่นใจว่าสามารถเอาชนะเย่คงและพี่น้องตระกูลหลี่ผู้ยังไม่มีชื่อเสียงแต่อย่างใด
คนทั้งหกขึ้นมาบนเวทีต่อสู้พร้อมกัน
สามคนทางด้านซ้ายไม่มีใครรู้จัก ก็คือเย่คง, หลี่ชิวและหลี่เกอ
สามคนทางด้านขวาคือสมาชิกตระกูลเย่ว์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นับหน้าถือตา บุตรชายคนโตของนายใหญ่ประจำตระกูล เย่ว์เทียน และเย่ว์เยี่ยนผู้มีพรสวรรค์ควบคุมไฟแห่งตระกูลเย่ว์ และสมาชิกที่มีพรสวรรค์ที่สุดของตระกูลเลี่ย เลี่ยปัน
เย่ว์เทียนและคนอื่นๆ สามารถขึ้นไปเป็นสิบสุดยอดนักเรียนที่แข็งแกร่งที่สุดในสถาบันฉางจิง ร่วมกับสามดาวเพชฌฆาต พลังของพวกเขาทุกคนรู้จักกันดี ทุกคนรู้สึกว่าเย่ว์เทียนและคนอื่นๆ เป็นผู้มีพรสวรรค์น้อยกว่าสามดาวเพชรฆาต
ขณะที่กรรมการชุดขาวและเจ้าหน้าที่คุ้มกันอีกหกคนก็ขึ้นมาช่วยตัดสิน
ก่อนที่พวกเขาจะประกาศให้เริ่มการแข่งขัน พวกเขาเน้นย้ำเตือนกฎการแข่งขันซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขาเตือนแต่ละฝ่ายอย่าลงมือกันรุนแรงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเตือนไม่ให้พวกเขาฆ่ากัน
ตอนนี้ แม้แต่คนตาบอดสามารถเห็นได้ว่าเย่คงและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความโกรธ ทั้งสองฝ่ายค่อนข้างจะควบคุมตนเองไม่ได้ ถ้าพวกเขาไม่ระงับความโกรธและเข้าต่อสู้กัน การต่อสู้ครั้งนี้อาจกลายเป็นการล้างแค้นได้ง่าย
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าและอาจารย์จากสถาบันฉางจิงก็ยังคงมาถึงช้าด้วยเช่นกัน แม้ว่าสีหน้าของพวกเขาจะสงบ แต่พวกเขาลอบตื่นตัวขณะที่เตรียมกำลังไว้พรักพร้อมเพื่อไว้ช่วยนักเรียนของตนถ้ามีอะไรเกิดขึ้น
แม้ว่าสถาบันฉางชุนเฉิงและสถาบันฉางจิงจะเป็นคู่แข่งในการแข่งขันครั้งนี้ แต่พวกเขาไม่ใช่ศัตรูถึงขนาดที่ว่า เจ้าไม่ตายก็เป็นเราสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น สถาบันทั้งสองก็มาจากอาณาจักรต้าเซี่ย ดังนั้นพวกเขาก็เป็นเหมือนแขนขาในร่างกายเดียวกัน ไม่ว่าใครทำร้ายใครบาดเจ็บ ก็มีแต่จะทำให้ต้าเซี่ยเสียหาย
เย่ว์เทียน, เย่ว์เยี่ยนและเลี่ยปันยังไม่กล้าประมาท พวกเขาได้เห็นตัวอย่างเจ้าอ้วนไห่และเย่ว์ปิงมาก่อนหน้านั้นแล้ว เย่ว์หยางเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด แม้จะสอนสหายของเขาเพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถทำให้เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นๆ มาสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้เย่ว์เทียน, เย่ว์เยี่ยนและเลี่ยปันได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยน หลังจากสัตว์อสูรของพวกเขาถูกฆ่าเกือบหมดในช่วงการประลองของตระกูลในวันปีใหม่ พวกเขากลายเป็นคนตื่นตัวมาก
เย่ว์เทียนและคนอื่นๆ เรียกพยัคฆ์ทอง, ราชสีห์เพลิง, เสือดาววายุ, อินทรีศึกและอสูรอื่นออกมาทีละตัว
ผู้ชมปรบมือลั่นส่งเสียงเชียร์พวกเขา
ในใจพวกเขา ราชสีห์เพลิง พยัคฆ์ทองเสือดาววายุและอินทรีศึกดูสง่างามและเป็นสัญลักษณ์ของพลัง
นอกจากอสูรพวกนี้ เย่ว์เทียนยังคงเรียกอสูรหุ่นออกมา เย่ว์เทียนเรียกหุ่นพยัคฆ์เงิน อสูรหุ่นชั้นเงินระดับ 4 ขณะที่เย่ว์เยี่ยนเรียกเซนทอร์ถือขวานรบ (มนุษย์ม้า) อสูรหุ่นเงินระดับ 3
“ตระกูลเย่ว์เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไม่มีคนอื่นนอกจากคุณชายสามตระกูลเย่ว์และสาวน้อยเย่ว์ปิงเล่า?”
ไป๋หวินเฟยเยาะเย้ยดูถูกพวกเขา
“หนอนที่น่าสงสารเอ๋ย พวกเขาไม่มีสัตว์อสูรชั้นทองเลยแม้แต่ตัวเดียว พวกเขาเบียดเสียดเข้าอยู่ในกลุ่มสิบนักสู้รุ่นเยาว์ผู้แข็งแกร่งที่สุดได้อย่างไร? ความจริงพวกเขาเป็นกบในกะลาชัดๆ!”
คำพูดของไป๋หวินเฟยถึงกับทำให้เซี่ยเชียนเริ่นถึงกับกรอกนัยน์ตา เขาคิดว่าถ้าไม่ใช่เป็นเพราะความจริงที่ว่าไป๋หวินเฟยเป็นประมุขน้อยของนิกายภูเขาหมอก การได้มีอสูรชั้นทองแดงก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์สำหรับเขาแล้ว ลืมเรื่องอสูรระดับเงินระดับทองไปได้เลย เจ้ามีจ้าวอสูรทอง แต่เจ้าไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งของตัวเอง ไฉนถึงได้หยิ่งมากมายนักเล่า?
แน่นอนว่าเซี่ยเชียนเริ่นไม่ได้กล่าวคัดค้านออกมา
เขาไม่ต้องการบอกประมุขน้อยผู้นี้ว่าไม่ใช่แค่เพียงตระกูลใหญ่ทั้งสี่เท่านั้น แม้แต่ตระกูลธรรมดาทั่วไป ปกติจะไม่ให้อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดแก่ผู้เยาว์ในตระกูล รุ่นผู้เยาว์จะต้องตามจับมันเอามาฝึกอบรมด้วยตัวเอง
แม้ว่าสัตว์อสูรจะเติบโตช้าด้วยวิธีแบบนี้ แต่รากฐานของมันจะมีความมั่นคงปลอดภัย ขณะเดียวกัน พวกผู้เยาว์ก็จะได้เรียนรู้จากการฝึกฝนอย่างหนัก ดังนั้นมันจะเป็นประโยชน์ที่ให้มันเติบโตเอง
คนอย่างไป๋หวินเฟยผู้ถือครองจ้าวอสูรทองระดับ 5 ในฐานะเป็นของขวัญที่ทำสัญญากับคัมภีร์ได้สำเร็จ เขาถือช้อนเงินช้อนทองเกิดมาได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี วิธีการฝึกของเขาแตกต่างจากวิธีฝึกของตระกูลทั้งสี่แบบเดิมอย่างมากมาย แม้ว่าเซี่ยเชียนเริ่นจะเกลียดเย่ว์หยาง แต่เขาก็รู้สึกยกย่องการฝึกฝนคัวของคุณชายสามผู้ไม่ธรรมดานี้
เขาไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ จากตระกูลของเขาเลย แต่ก็ยังบรรลุขอบเขตแดนปราณก่อกำเนิดด้วยกำลังของตนเอง เขายังประสบความสำเร็จมากกว่าเย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนที่ขอรับการสนับสนุนจากตระกูลของพวกเขาเสียอีก
นี่หมายความว่าอย่างไร?
ความสำเร็จเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับความเพียรพยายามของแต่ละคน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสัญญากับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง
แน่นอนว่าการทำสัญญากับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเป็นเรื่องดี แต่ไม่ได้ครอบคลุมไปทุกอย่าง
ไป๋หวินเฟยมีจ้าวอสูรทองเพราะสถานะของเขา ทุกคนใช่ว่าจะคาบช้อนเงินช้อนทองถือกำเนิดมาเสียเมื่อไหร่ และใช่ว่าทุกคนจะได้เป็นประมุขน้อยนิกายเขาหมอก ไป๋หวินเฟยอาจได้รับการชื่นชมจากผู้คนเมื่อเขาครอบครองจ้าวอสูรทอง แต่ก็ไม่ทำให้เขามีสิทธิที่จะดูถูกคนอื่น อย่างน้อยที่สุด เขาอาจไม่ได้พากเพียรเท่ากับคนอื่น
เซี่ยเชียนเริ่นก้มหัว มีสีหน้ายิ้มเย้ยเล็กน้อย จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ ไม่นานจากนี้ เจ้าจะโดนเจ้าตัวประหลาดเย่ว์หยางกลั่นแกล้งจนร้องไห้แน่
“เฮ.... เฮ.....”
ผู้ชมระเบิดเสียงโห่ร้องทันที
ไป๋หวินเฟยและเซี่ยเชียนเริ่นมองลงไปและพบว่ามีสองคนที่ไม่เป็นที่รู้จัก พี่น้องตระกูลหลี่เรียกอสูรชั้นทองออกมา แม้ว่าจะเป็นเพียงมดทหารชั้นทองสองตัว แต่ผู้ชมก็ทึ่งจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ระเบิดเสียงโห่ร้อง สองคนนี้สามารถครอบครองอสูรชั้นทองได้อย่างไร?
แม้แต่เย่ว์เทียนและเย่ว์เยี่ยนในสิบสุดยอดนักเรียนแข็งแกร่งก็ยังไม่มีอสูรชั้นทอง แต่คนไม่มีชื่อเสียงสองคนนี้กลับมีอสูรชั้นทองได้
พวกเขาเป็นยอดฝีมือจากนิกายใดนิกายหนึ่งหรือ?
เย่คงก็เริ่มเรียกอสูรของเขาบ้าง คิงคองปีศาจอสูรทองแดงระดับ 5 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมันไม่ใช่อสูรทอง อสูรของเขาจึงไม่ได้ทำให้ผู้ชมแปลกใจมากนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเย่คงเรียกด้วงจอมพลังออกมา แม้แต่ไป๋หวินเฟยและองค์ชายสือจินถึงกับต้องเอามือขยี้ตาตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองเห็นถูกต้อง ด้วงจอมพลังเป็นอสูรสายป้องกัน เมื่อมันมีระดับสูงขึ้น ก็จะกลายเป็นว่ามีลักษณะที่แม้แต่มังกรยักษ์ยังทำอะไรไม่ได้ โชคดีที่ด้วงจอมพลังนี้ยังมีระดับไม่สูง เป็นเพียงอสูรสามัญระดับ 5 อย่างไรก็ตามตัวของมันใหญ่พอๆ กับเนินเขา กินพื้นที่ราวๆ หนึ่งในสามของพื้นเวทีประลอง
อย่าว่าแต่ราชสีห์เพลิง, เสือดาววายุและอีนทรีศึกเลย ไป่หวินเฟยรู้สึกว่าแม้แต่จ้าวอสูรทองของเขา ก็ยากจะทำร้ายด้วงจอมพลังให้บาดเจ็บได้
ถ้าด้วงจอมพลังนี้สามารถวิวัฒนาการไปเป็นอสูรชั้นทองแดงหรือเป็นระดับ 6 เย่ว์เทียนและคนอื่นคงไม่จำเป็นต้องสู้เลย
คิงคองปีศาจและด้วงจอมพลังหรือ?
นี่ นี่มันคือพลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดและพลังป้องกันที่เข้มแข็งที่สุดไม่ใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น อีกสองคนยังมีมดทหารทอง อสูรชั้นทองอีกด้วย และพี่น้องฝาแฝดมีสายสัมพันธ์ที่เข้มข้นต่อกันด้วย ศึกครั้งนี้...
เหยียนพั่วจวินและเฟิงชิซาที่อยู่ข้างล่างเวทีทุกคนรู้สึกเสียใจกับเย่ว์เทียนและคนอื่นๆ ที่สู้อยู่บนเวที
แน่นอนว่า พวกที่อยู่ฝ่ายคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ไม่ธรรมดาเลย มีแต่ตัวประหลาดทุกคน
สีหน้าของเสวี่ยทันหลางไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าสร้างขึ้นมาจากน้ำแข็ง สายตาของเขายังคงจ้องมองลงไปที่เวทีต่อสู้ แต่คอยสังเกตสีหน้าไป๋หวินเฟย, องค์ชายสือจิน, ทูตมังกรชังหลันวี่และคนอื่นๆ แทน เขาสังเกตปฏิกิริยาของศัตรูในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดสายตาเย็นชาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่คนสุดท้ายก็คือเย่ว์หยาง บางที ในใจของเสวี่ยทันหลาง ยังคงจดจำเย่ว์หยางไว้ว่าเป็นคู่แข่งของเขาตลอดชีวิต เป็นเป้าหมายที่เขาต้องการสู้ด้วยอย่างสุดฝีมือ
แต่ก่อนจะสู้กับเขา เสวี่ยทันหลางหันไปจ้องไป๋หวินเฟยและคนอื่นๆ บางทีคนเหล่านี้อาจเป็นก้อนหินให้เขาหยั่งเท้าก้าวข้ามไปก็ได้
คุณชายสามตระกูลเย่ว์นั้น คงจะไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้หรือ?
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=258