ตอนที่ 207 ผู้บุรุกต้องถูกกำจัด
เย่ว์หยาง, เย่ว์ปิงและคนอื่นเดินไปที่ห้องแม่นางเฟิงเพื่อเยี่ยมอาสี่
อาสี่ยังคงนอนหลับอยู่บนเก้าอี้หวาย มีจดหมายที่เขียนด้วยลายมือท่านสองฉบับวางอยู่ข้างตัวเขา ฉบับหนึ่งจ่าหน้าถึงแม่สี่ อีกฉบับหนึ่งถึงเย่ว์หยาง ลักษณะอาสี่ดูอ่อนเยาว์กว่าที่เย่ว์หยางเคยคิดไว้
เขาดูหล่อเหลา และมีหนวดเหนือริมฝีปากเหมือนกับ “เล็กเสี่ยวหงส์ (จากนิยายหงส์ผงาดฟ้า)” เขาสวมผ้าโพกศีรษะไว้บนหัวอยู่ในชุดยาวสีเขียว มีผ้าห่มลายปักคลุมตัวของเขาครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาหายใจอย่างยากลำบาก พวกเขาคงคิดว่าท่านกำลังหลับพักกลางวัน
ผิวของเขาดูเหมือนสูญเสียพลังชีวิตดูซีดและขาว
ร่างของเขาแผ่ไอบางๆ เหมือนคนใกล้ตายที่สุขภาพดูไม่ดีเลย เย่ว์หยางยื่นมือออกไปเพื่อตรวจดูอาการของเขา และพบว่าอาการของเขาย่ำแย่กว่าที่คิดไว้
ยาเม็ดปรสิตและเฟิร์นกระดูกผุก็ไม่สามารถยับยั้งอาการป่วยของเขาได้ ถ้าพวกเขาต้องการช่วยชีวิตอาสี่ ดูเหมือนจะเหลืออยู่เพียงวิธีเดียว นั่นก็คือรีบฆ่าคนที่เพาะเลี้ยงปรสิตและขุดเอายาภายในนางพญาปรสิตพันพิษจากในตัวของคนเลี้ยง
แม่นางเฟิงคือสตรีที่อายุยังไม่มาก อยู่ในชุดไหมยาวสีขาว นางเป็นสตรีงดงาม แต่ดูผอมและซูบซีด นัยน์ตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงและเริ่มร้องไห้
พอเห็นเย่ว์ปิง ทั้งคู่ก็กอดกันแน่นพลางส่งเสียงสะอื้น
นางไม่ได้บอกความจริงเย่ว์ปิงเรื่องพิษ แต่กลับปลอบโยนเย่ว์ปิงแทน และบอกว่านางจะรักษาอาสี่ให้ได้แน่นอนและบอกเย่ว์ปิงไม่ต้องกังวล องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเย่ว์หวี่รู้สึกได้ถึงความเศร้าสร้อยในน้ำเสียงของแม่นางเฟิง แต่เย่ว์ปิงยังคงอายุน้อยและมีความหวังว่าบิดาของนางจะหายป่วยได้ ดังนั้นนางไม่สงสัยคำพูดของแม่นางเฟิงแม้แต่น้อย
จากนั้นแม่นางเฟิงกอดเย่ว์หยางพลางปาดน้ำตา แล้วนางขอให้เย่ว์หยางเลี่ยงมาที่ด้านข้าง สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางงงงันก็คือว่านางไม่ได้พูดถึงอาการของอาสี่เลย นางกลับถามชีวิตประจำวันของเย่ว์หยาง และพูดเป็นลางว่าให้เย่ว์หยางฝึกตัวให้แข็งแกร่งเพื่อครอบครัวที่สี่ และรับผิดชอบครอบครัวเขาให้ดี
เย่ว์หยางไม่จำเป็นต้องจับชีพจรแม่นางเฟิงก็สามารถบอกได้ว่านางต้องพิษร้อยหนอนด้วยเช่นกัน
นางตรวจพบมันในตอนแรก ดังนั้นจึงพยายามใช้ตัวป้องกันรักษาไว้ นั่นคือสาเหตุที่นางได้รับพิษมาบ้าง
“ไม่เป็นไรหรอก ในอนาคต เจ้ามาเยี่ยมอาสี่ได้อีกเมื่อเจ้ามีเวลา ไม่นานมานี้เขายังคงพูดถึงพวกเจ้าอยู่ แต่เขาเหนื่อย ดังนั้นข้าจะไม่ปลุกเขา”
แม่นางเฟิงมอบจดหมายให้เย่ว์หยาง
พูดเป็นนัยว่าจดหมายนี้มอบให้ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง เมื่อเย่ว์หยางรับจดหมาย เขาสังเกตว่าท้องของนางนูน แม่นางเฟิงรีบโบกมือทันที
“เด็กจะปลอดภัย พวกเจ้าวางใจได้!”
พอได้ยินคำของนาง เย่ว์หยางรู้สึกได้ว่าแม่นางเฟิงคงจะไม่รอดหลังจากนางให้กำเนิดบุตร
นี่ นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่นางยอมให้พิษร้อยหนอนเข้าสู่ร่างกายนาง..
ในตอนนี้ แม่นางเฟิงชำระชื่อเสียงของนางจนสะอาดแล้ว นางไม่ใช่คนที่ต้องการทำร้ายอาสี่ แต่น่าเสียดายที่นางพลอยตกไปในกับดักศัตรูไปด้วย
เย่ว์หยางเดินออกจากห้องมาก่อน และถือโอกาสอ่านจดหมายที่อาสี่เขียนถึงเขาในขณะที่สามสาว คุยกันเรื่องส่วนตัวกับแม่นางเฟิง มีลายมือสองแบบอยู่ในจดหมายฉบับเดียวกัน
จดหมายส่วนแรกเขียนโดยอาสี่ เย่ว์หลิงที่ระบุไว้ว่าเขามีความสุขและมั่นใจมากเมื่อเขาได้ยินว่าเย่ว์หยางประสบความสำเร็จ เขายังบอกเย่ว์หยางว่าไม่ต้องติดตามเรื่องนี้ต่อไปแต่อย่างใด เขาบอกว่า
“เจ้าต้องเป็นผู้นำของครอบครัวเจ้าและต้องปกป้องสมาชิกครอบครัว ดูแลแม่สี่และน้องสาวทั้งสองของเจ้าให้ดี จงให้ความสำคัญในความปลอดภัยของพวกนางแทนที่จะหาทางล้างแค้น มิฉะนั้น ภัยพิบัติอื่นๆ จะตามมาถ้าเจ้าตกไปอยู่ในกับดักของศัตรู ศัตรูของเจ้ามีพลังอำนาจมาก แม้แต่ทั้งอาณาจักรต้าเซี่ยก็ยากจะต่อกรกับพวกเขา วิธีสุดท้ายก็คือหลบหนีการจับตาของศัตรู ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของทุกคน”
หลังจากนั้นอาสี่ยังคงบอกความลับเย่ว์หยางสองข้อคือ ความลับประการแรกก็คือเย่ว์ชิวได้ทิ้งของขวัญไว้ให้สหายผู้น่าสงสารในที่บางแห่งในหอทงเทียนชั้นห้า เย่ว์ชิวยังคงบอกว่าบุตรชายของเขาคงต้องการของขวัญชิ้นนี้เมื่อเขาขึ้นไปยังหอทงเทียนชั้นหก ความลับข้อที่สองก็คือ มีบางอย่างที่มารดาผู้ลึกลับของสหายผู้น่าสงสารได้บอกไว้
นางบอกว่าในแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ มีทางผ่านพิเศษสายหนึ่ง ที่นางไขปัญหาได้ แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ นางหวังว่าบุตรชายนางจะสืบหาความจริงเรื่องทางผ่านนี้ ถ้าเขาต้องการจะผ่านเข้าไป
จดหมายส่วนต่อมาเขียนโดยแม่นางเฟิง
แม่นางเฟิงชี้แจงว่ามีเวลาเหลือไม่มาก และระบุว่านางขอถูกฝังร่วมกับอาสี่และให้ฝังให้ลึกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของพิษร้อยหนอน นางจะทนรอความตายของนางที่นั่น
สำหรับบุตรในท้องของนาง ถ้าเป็นชาย เขาจะถูกส่งกลับไปที่ครอบครัวที่สี่เป็นผู้สืบทอดของครอบครัวที่สี่
ถ้าเป็นหญิง ขอให้ปล่อยเธอไว้ให้ตระกูลเฟิงดูแล
นางหวังว่าเย่ว์หยางจะสามารถเตือนเรื่องข่าวของเขาให้กับพี่หรือน้องที่เป็นที่รักของอาสี่ จดหมายของนางมีความจริงใจมาก ทำให้เย่ว์หยางรู้สึกว่าแม่นางเฟิงเป็นมารดาที่ดี แม้เมื่อนางตัดสินใจตายพร้อมกับคนรักของนาง นางก็ยังคิดถึงลูก
“ข้าไม่เคยสงสัยมาก่อนเลยว่าเจ้าเป็นพี่ชายที่ดีคนหนึ่ง เจ้าสามารถพาแม่สี่และน้องสาวกลับเข้าตระกูลเย่ว์ได้ ดังนั้นข้าจึงรู้จักนิสัยของเจ้า.. ในอนาคต ข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลพี่น้องของเจ้าเป็นอย่างดี พี่น้องต้องช่วยส่งเสริมกันและกัน!”
แม่นางเฟิงจบจดหมายด้วยข้อความเหล่านี้ เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่านางขอมอบลูกน้อยของนางให้เย่ว์หยางในอนาคต
ดูเหมือนว่านางตัดสินใจตายแน่นอนแล้ว
เย่ว์หยางพูดไม่ออกอยู่นาน ขณะที่เขาคิดว่า
“ยังมีทางอื่นที่จะช่วยพวกเขาได้ไหม?”
นี่เขาต้องดูอาสี่และแม่นางเฟิงค่อยๆ ตายไปทั้งคู่โดยทำอะไรไม่ได้เลยหรือ? คิดสิ ยังจะมีสักทางอีกไหม?
ยังคงมีเวลา แม้ว่าเขาจะยังไม่แข็งแกร่งเต็มที่ในตอนนี้ หลังจากพักสักสามเดือนและฟื้นฟูพลังปราณก่อกำเนิด จะมีอะไรที่เขาสามารถทำได้บ้าง?
เย่ว์หยางไม่ต้องการยอมรับความพ่ายแพ้อย่างนี้ ศัตรูจะเอาชนะเขาด้วยกับดักพิษเพียงอย่างเดียวได้อย่างไร? ต้องมีสักทาง นี่คือพิษกำเริบช้าชนิดหนึ่ง ไม่ใช่พิษร้ายแรงที่สังหารเหยื่อได้ทันที ยังพอมีเวลาอีก 2-3 เดือน ตราบใดที่เขาตามหาคนเพาะเลี้ยงปรสิตนั้นได้ ยังต้องมีความหวังเหลืออยู่แน่นอน!
แม้ว่าเจ้าผู้นั้นจะกลายเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด แต่เขาก็เคยสังหารถูเฉิงและขวงจั่นที่เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดถึงสองคนมาก่อนแล้วไม่ใช่หรือ?
อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องหาทางได้ เขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ขณะที่เขาออกมาที่ห้องโถงใหญ่ ประมุขตระกูลเฟิงจับไหล่ของเย่ว์หยาง เขาไม่ได้พูด แต่เขาออกไปส่งเย่ว์หยาง, องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนด้วยตัวเขาเอง
พอกลับมาที่ปราสาทตระกูลเย่ว์ เย่ว์หยางและคนอื่นพบว่าหมู่บ้านตระกูลเย่ว์ถูกทำลายไปแล้ว ราวกับมีพายุหมุนกวาดผ่านไป
หลังจากสอบถามแถวนั้นดู พวกเขาพบว่าตระกูลเซี่ยบุกรุกมาสู้กับนักรบตระกูลเย่ว์ที่ขวางทางพวกเขาไว้ พวกเขายังได้ทุบทำลายร้านตามรายทาง ขณะที่พวกเขาสั่งให้ตระกูลเย่ว์ส่งตัวเย่ว์หวี่และคนรักของนางให้พวกเขา
อย่างไรก็ตาม ตระกูลเซี่ยยังคงมีความกังวลบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ฆ่าคนตามทางเข้าปราสาทตระกูลเย่ว์
พวกนักรบของตระกูลเย่ว์ถูกกดดันอย่างหนัก เพราะผู้กระทำผิดที่เป็นต้นเหตุเรื่องนี้ ไม่ใช่เย่ว์เทียน, เย่ว์เยี่ยน, เย่ว์เป่าหรือแม้แต่ตัวประหลาดอย่างคุณชายสามเย่ว์หยาง ความจริงเย่ว์หวี่เป็นคนที่ว่าง่าย, ฉลาดและใจดีที่สุด
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเย่ว์หวี่จะมีคนรักบัดซบได้ เพราะคุณหนูรองของพวกเขามักจะอยู่กับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็เห็นว่าเย่ว์หวี่กลับมาปราสาทพร้อมกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและยังมีคุณหนูเจ็ดและตัวประหลาดอย่างคุณชายสามเย่ว์หยางก็อยู่กับพวกนางด้วย แล้วจะมีคนรักบัดซบได้อย่างไร
พวกเขาปฏิเสธยืนกรานการใส่ความต่อชื่อเสียงของคุณหนูรอง น่าประหลาด ทั้งที่รู้กันว่าตระกูลเซี่ยและตระกูลเย่ว์ผิดใจกันและกัน แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าคนพวกนี้ไม่มีเจตนาดีจึงได้มาที่นี่ พวกเขาจงใจมาที่นี่จงใจหาข้ออ้างบังหน้า
ตระกูลเซี่ยไม่ได้พายอดฝีมือระดับ 7 (ยอดมนุษย์) “จอมล้างผลาญ” เซี่ยถูมากับพวกเขาด้วย แต่นักสู้ของตระกูลเย่ว์และตระกูลเซี่ยทั้งสองก็มีศึกใหญ่กันแล้ว
ในที่สุดตระกูลเย่ว์ก็เริ่มตกเป็นเบี้ยล่าง หมู่บ้านตระกูลเย่ว์ของพวกเขาถูกทุบทำลายยับ
เมื่อจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้และผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ได้ทราบข่าวและมาถึง พวกตระกูลเซี่ยก็ไปจากที่เกิดเหตุแล้ว
“จริงๆ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่?”
ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่เห็นเย่ว์หยางและถามเขาถึงหมู่บ้านตระกูลเย่ว์ที่ถูกทำลาย
“ข้าก็ไม่รู้ ข้าไปเยี่ยมอาสี่พร้อมกับพี่รองและปิงเอ๋อ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็ไปกับเราด้วย”
เย่ว์หยางปรากฏตัว ทำตัวเหมือนกับว่าเป็นเด็กดีผู้ไม่เคยต่อสู้หรือรู้อะไรเลย
“ท่านปู่! เป็นความผิดของข้าคนเดียว!”
เย่ว์หวี่ไม่เหมือนเย่ว์หยางที่โกหกได้โดยไม่กระพริบตา นางคุกเข่าและอธิบายเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเกรงว่านางจะถูกผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ทำโทษ ดังนั้น นางจึงพูดคำพูดของเซี่ยเชียนชิวให้ท่านฟัง
เมื่อจุนอู๋โหย่วได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์ถึงกับเปลี่ยนไปมาก
พระองค์รู้สึกได้เลยว่าตระกูลเซี่ยกำลังยั่วยุตระกูลเย่ว์อย่างอุกอาจ พวกเขาต้องมีผู้หนุนหลังพอจนกล้าที่จะก่อเรื่องแบบนี้ แม้ว่าจะไม่มีเรื่องเย่ว์หวี่ บางทีพวกเขาคงหาข้ออ้างอื่น การยั่วยุเรื่องเย่ว์หวี่เป็นเพียงข้ออ้างสำหรับการโจมตีของพวกเขา
ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่มองดูเย่ว์หยาง จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิงดูว่า
“เสี่ยวซาน! เจ้ามีความเห็นกับเรื่องเช่นนี้ยังไง?”
เย่ว์หยางเป็นศูนย์รวมของความรุนแรงอยู่แล้ว
เนื่องจากศัตรูรังแกพวกเขามาตลอดทางจนถึงหน้าประตู ยังมีอะไรอื่นที่จะต้องพูดกันอีก? พวกเขาต้องบดขยี้ศัตรูจนกว่าพวกมันจะจำแม่ตัวเองไม่ได้
เย่ว์หยางกระแอมเบาๆ
“ทุกๆ ท่านก็รู้กันทั้งหมดแล้วว่า ข้าเป็นคนสงบรักสันติภาพ จิตใจดีงาม ในเดือนหนึ่งๆ ข้าจะต้องทำความดีอย่างน้อยหนึ่งอย่าง เช่นช่วยจูงคนแก่แม่เฒ่าเดินข้ามถนน เป็นต้น แล้วข้ามักจะให้อภัยคนอื่นเสมอ ปกติเมื่อคนอื่นตบแก้มซ้ายของข้า ข้าก็มักจะยอมให้พวกเขาตบแก้มซ้ายด้วยเช่นกัน...”
คนที่ได้ยินเขาพูดเริ่มจะหน้าตาประหลาดๆ ถ้าเจ้าเด็กนี่เป็นผู้สนับสนุนให้เกิดสันติภาพ อย่างนั้นทวีปมังกรทะยานคงจะมีสงครามรุมล้อมไม่มีที่สิ้นสุด
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจ้องเย่ว์หยาง
นางผงกศีรษะให้ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่และพูดว่า
“เนื่องจากตระกูลเซี่ยเรียกร้องการต่อสู้ เราก็จะสู้กับพวกเขา!”
พอได้ยินเช่นนี้จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ยิ่งหนักใจกว่าเดิม ข้าคงไม่พูดอะไรเมื่อเจ้าแอบช่วยเขาเงียบๆ แต่เจ้ากลับพูดว่า “เรา” เฉยเลย! นังหนูเอ๋ย! เจ้ายังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเย่ว์สักหน่อย!
“ฝ่าบาท, พระองค์จะไกล่เกลี่ยเรื่องของสองตระกูลนี่ได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ไม่ต้องการลากพระองค์เข้ามาในวังวนของเรื่องเช่นนี้ ถ้าตระกูลเซี่ยกล้ายั่วยุตระกูลเย่ว์ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่กลัวจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ ผู้ที่สนับสนุนตระกูลเย่ว์เสมอมา เรื่องนี้ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของต้าเซี่ย มิฉะนั้นการบริหารงานเมืองของทวีปมังกรทะยานก็จะเกิดความวุ่นวายโดยรวมได้ พระองค์รู้สึกได้ว่าตระกูลเย่ว์เหมือนกับอยู่ขอบหน้าผา ความผิดพลาดอย่างง่ายๆ อาจทำให้ตระกูลเย่ว์ทั้งหมดตกต่ำลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“พี่ไห่, ท่านไม่ต้องพูดต่อไปแล้ว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน!”
จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ยิ้มทันที
พ่อบ้านประจำตระกูลถามคนที่รายล้อมแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะแสดงอาการลนลานและกังวล
ตระกูลเซี่ยมีการเคลื่อนไหวครั้งใหม่
ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่จับมือพ่อบ้านบอกไม่ให้เขาพูดอะไรออกมาอีกแล้ว
เย่ว์หยางพยักหน้า
“แน่นอนว่า ท่านปู่คือประมุขตระกูล ข้าจะเชื่อฟังคำสั่งของท่านปู่อย่างแน่นอน”
เขายืนขึ้นและเดินออกไปที่ทางออก เย่ว์หวี่และเย่ว์ปิงสับสนเมื่อเห็นเช่นนี้ เอ๋? เจ้าเด็กนี่เปลี่ยนนิสัยได้แล้วหรือ? ทำไมเขาถึงได้ว่าง่ายนัก?
มีแต่เพียงองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนที่วิ่งออกไปตะโกนใส่
“นี่เจ้า! อย่าพยายามเล่นตลกอะไรอีกนะ!”
ก่อนที่นางจะพูดจบ เย่ว์หยางเดินออกจากห้องแล้วหายวับทันที ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่และจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้มองหน้ากันและกันแล้วฝืนยิ้ม แม้ว่าพวกท่านจะรู้ว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ค่อยฟังพวกท่าน แต่พวกท่านก็ไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องแบบนี้...
ที่เชิงภูเขา มียอดฝีมือตระกูลเซี่ยเดินหน้ามุ่งตรงสู่ปราสาท
พวกเขาได้ผ่านหมู่บ้านตระกูลเย่ว์ และปีนขึ้นปราสาทตระกูลเย่ว์ทีละก้าว ทีละก้าว
นักรบตระกูลเย่ว์ไม่อาจทำอะไรได้ มีแต่ถอยร่นเพราะพลังกล้าแข็งของศัตรู สองผู้อาวุโสเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีนักสู้ระดับ 7 ขั้นกลางนามเซี่ยถู ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจ พวกเขาได้แต่ส่งสัญญาณให้เหล่านักสู้ถอยและรอการสนับสนุน
นักสู้ระดับ 7 ไม่ใช่ศัตรูที่พวกเขาสามารถต่อต้านได้
เซี่ยถูก็ยังไม่โจมตี
ในฐานะนักสู้ระดับ 7 เขาสามารถเอาชนะนักสู้ตระกูลเย่ว์ได้ด้วยพลังปราณของเขาตามลำพังเท่านั้น
ในขณะที่เขากระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเองอยู่นั้น ปรากฏเงาสายหนึ่งขึ้นทันที เงาสายนั้นเหินลงมาจากยอดเขา มีเปลวเพลิงสีม่วงตามที่ลุกโพลงขึ้นสู่ท้องฟ้าตามมาด้วย กำลังพุ่งลงมาด้วยความเร็วราวกับดาวตก ภาพเช่นนี้ทำให้เซี่ยถูตัวสั่นด้วยความตกใจ
ศัตรูแข็งแกร่งจากตระกูลเย่ว์ปรากฏตัวแล้ว... เปลวไฟสีม่วงในท้องฟ้าบิดเป็นเกลียวและเปลี่ยนภาพคล้ายมังกร ขณะที่เซี่ยถูกกระโดดขึ้นไปในท้องฟ้าเตรียมตัวปะทะกับศัตรูแข็งแกร่ง
ศัตรูของเขากลับหายตัววับในทันที เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ไปอยู่ที่ด้านหลังเหล่านักสู้ตระกูลเซี่ยแล้ว เขาใช้เปลวเพลิงม่วงตัดศีรษะของนักสู้ของตระกูลเซี่ย...
โลหิตฉีดพุ่งไปทั่วบริเวณ
มีนักสู้ตระกูลเซี่ยอย่างน้อย 20 คนตายคาที่ ภายใต้ดาบที่มีเพลิงสีม่วง
บนพื้น นอกจากศพแล้ว ยังมีเส้นขีดแบ่งไว้อีกด้วย
เย่ว์หยางยืนอยู่บนเส้นขีดแบ่งที่ชุ่มโชคด้วยเลือด ในมือถือดาบวิเศษฮุยจิน เขาคำรามเสียงเยือกเย็นว่า
“ผู้บุกรุก จะต้องถูกจัดการโดยไม่ได้รับความปราณีใดๆ ทั้งสิ้น!”
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=226