ตอนที่ 201 หมื่นปีไม่เคยมีใครทำได้
ตอนนี้รางวัลของกฎโบราณน้อยกว่าครั้งก่อนมาก ไม่ใช่เงาของเย่ว์หยางทั้งหมดที่ได้รับรางวัล
มีแต่เพียงโคเงาเท่านั้นที่ได้รับรางวัล
เนตรโลหิตคู่สังหาร : เมื่อเนตรประหารถูกเรียกออกมาเพื่อสังหารศัตรู มีโอกาสเล็กน้อยที่จะพัวพันกับศัตรูจนถูกฆ่าได้เช่นกัน ทักษะนี้จะใช้ไม่ได้กับอสูรที่ไม่มีชีวิตหรืออสูรผีดิบที่ไม่มีวิญญาณ
เย่ว์หยางตระหนักว่าโคเงาดูเหมือนจะมีทักษะอื่นที่ปรากฏออกมาแล้วไม่ค่อยมีประโยชน์ โอกาสที่จะมีผู้ถูกฆ่าด้วยเนตรประหารมีน้อยมากจริงๆ โอกาสที่จะได้ใช้เนตรโลหิตคู่สังหารก็แทบไม่มี
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นทักษะที่สวรรค์มอบให้เขาฟรีๆ ดังนั้นเย่ว์หยางไม่สามารถคืนมันได้ แม้ว่าเขาต้องการทำก็ตาม เขาได้แต่รับมันไว้ ทันใดนั้นเขาหันความสนใจของเขาไปจากทักษะพิเศษที่โคเงาได้รับมาจากกฎโบราณและมองดูการเปลี่ยนแปลงร่างของโคเงา นางอยู่ในท่ามกลางการวิวัฒนาการ
มีแสงทองอาบร่างของนางขณะที่ควันดำซึมออกมาจากร่างนางอย่างต่อเนื่อง ร่างของนางมีขนาดเล็กลงทีละนิดและเขาบนศีรษะนางเริ่มบิดกลับไปที่ด้านหลัง เขาวัวสีเงินเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีทอง
เขาสีทองค่อยๆ เล็กลงและหันกลับไปทางด้านหลัง
เค้าโครงใบหน้าของนางที่ค่อนข้างดูคล้ายผู้ชายก็ค่อยๆ ดูนุ่มนวลและคล้ายผู้หญิงมากขึ้น
ส่วนสูงสองเมตรยังนับว่าสูงมาก แต่ก็ดีกว่าโครงสร้างครั้งก่อน ปัจจุบันนี้หุ่นของนางดูเพรียวกว่าเมื่อก่อนมาก
ความล่ำสันของนาง รูปลักษณ์กล้ามเนื้อของนางตอนนี้จำกัดอยู่ที่แขนและต้นขา ความล่ำสันในส่วนอื่นๆ หายไปหมดแล้ว แต่กลับมีผิวเรียบเนียนอ่อนนุ่มในร่างกายส่วนที่เหลือของนาง
แม้ว่านางไม่ได้มีผิวขาวราวหิมะ หรือนุ่มนวลเมื่อเทียบกับร่างครั้งก่อนของนางพญากระหายเลือด แต่ผิวของนางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากนั้นร่างของโคเงาและเกราะหนังที่นางสวมอยู่ก็เริ่มมีไฟลุกออกมา และหลุดร่วงและไหม้บนพื้นต่อ
แขนทั้งสองของนางไม่ดูล่ำสันอีกต่อไป นิ้วของนางกลายสภาพเป็นนิ้วที่เรียวยาว
หางที่ด้านหลังนางหายไปโดยสิ้นเชิง เหนือต้นขาของนางขึ้นมา เป็นบั้นท้ายของมนุษย์ผู้หญิงไปแล้ว นอกจากนี้ ส่วนของร่างกายตั้งแต่เข่าลงมาซึ่งยังคงเป็นขาและกีบวัว ก็ไม่มีลักษณะอื่นใดที่แสดงว่านางเป็นโคป่า
ทันใดนั้น โคเงางอตัวลงอย่างเจ็บปวดขณะที่แสงสีทองเปล่งออกมาจากบริเวณหัวใจของนาง
ขณะที่เปลวไฟบนตัวนางเริ่มมอดลง โคเงาคนใหม่กลับลุกขึ้นมายืนอีกครั้งทำให้เย่ว์หยางปากอ้าค้างด้วยความประหลาดใจ
ร่างของนางเปลือยเปล่า เกราะทุกชิ้นที่นางเคยสวมก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น แม้ว่าผิวของนางจะออกเป็นสีทองแดง แต่ก็ดูเหมือนว่านางคงจะแข็งแรงและเปี่ยมไปด้วยพลัง
หุ่นของนางเพรียวสมส่วน ส่วนที่สะดุดตาที่สุดของร่างกายนางที่อาจทำให้ผู้ใดก็ตามที่มองดูอาจจะเลือดกำเดาพุ่งอย่างช่วยไม่ได้ก็คือ อกของนาง น่าจะราวๆ คัพ-จี ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่านางสูงถึงสองเมตร คุณสมบัติประจำตัวนางก็เป็นเหตุให้ เกิดความปั่นป่วนได้แล้ว
มีกระดิ่งทองใบเล็กห้อยอยู่ที่คอนาง มันพาดอยู่ตรงกลางร่องอกนางอย่างไม่น่าเชื่อ
นอกจากนี้ยังมีสายสร้อยข้อมืออยู่บนข้อมือนาง
เอวของนางไม่ได้ดูตันๆ เหมือนครั้งก่อน กลับมีส่วนโค้งเว้าเหมือนกับผู้หญิงธรรมดา
สายตาของเย่ว์หยางยังคงสำรวจต่ำลงมา..
ทันใดนั้นเย่ว์หยางรู้สึกว่ามีแรงกระตุ้นลามกอยู่ในหัวใจเขา แต่นางคืออสูรพิทักษ์ของเขาเอง ระหว่างมนุษย์และสัตว์อสูร จะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ?
พอเห็น หุ่นที่ยั่วยวนใจในปัจจุบันของโคเงาแล้ว นางพญากระหายเลือดรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย โชคดีที่แม้ว่านางจะแพ้เรื่องขนาดหน้าอก แต่นางก็ยังได้เปรียบในส่วนอื่นๆ ของร่างกายเมื่อเทียบกับโคเงา
เสี่ยวเหวินหลีกลับตรงกันข้าม เธอไม่เข้าใจอะไรเลย เธอมองเห็นว่าร่างกายท่อนล่างของโคเงาแตกต่างจากตัวเธอเองเล็กน้อย เธอเอียงหัวและคิดอย่างสงสัยกำลังจะเอื้อมมือไปสัมผัสตรงนั้น เย่ว์หยางรีบคว้าข้อมือของเธอที่ยังอยากรู้อยากเห็นไว้และเอาชุดบางส่วนของเขาให้โคเงา
แม้ว่าชุดของเขาจะเล็กเกินไปสำหรับนาง แต่เขาไม่ได้เตรียมอะไรให้นางมาก่อน นางต้องใช้อย่างนี้ไปก่อน
พอเห็นว่าเย่ว์หยางไม่กล้ามองเรือนร่างโคเงา นางพญากระหายเลือดรีบบินเข้ามาหาเขาและกอดหลังเขาทันที นางแนบร่างที่อ่อนนุ่มกับหลังของเขา ยอมให้เขาได้รู้สึกถึงส่วนโค้งเว้าและอ่อนนุ่มของนาง เสี่ยวเหวินหลีก็พลอยนึกสนุกไปด้วย มือน้อยๆ ทั้งหมดของเธอกอดอยู่ที่ต้นขาเย่ว์หยางและแนบหน้าของเธอกับหน้าท้องเย่ว์หยาง
เสี่ยวเหวินหลีแค่เพียงทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจตนเองแกล้งเย่ว์หยาง แต่ตอนนี้จิตใจของบุรุษหนุ่มจากโลกอื่นถึงกับตึงเครียด ไฟแทบเผาหัวใจเขาจนมอดไหม้ขณะที่เสี่ยวเหวินหลีเอาหน้าสีกับหน้าท้องเขา
เขาอุ้มเสี่ยวเหวินหลีขึ้นแล้วหอมแก้มเธอ พยายามสงบจิตใจ
เสี่ยวเหวินหลีมีความสุขมาก
เธอกอดเย่ว์หยางคืนแล้วจูบตอบ ในที่สุดแม้แต่นางพญากระหายเลือดก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เย่ว์หยางจนสัมผัสลมใจร้อนได้
เย่ว์หยางลูบหน้านางพญากระหายเลือด เขาต้องการจะหันศีรษะไปจูบริมฝีปากสีเชอรี่นั้น แต่เย่ว์ปิงที่ยังอยู่บนพื้นเริ่มขยับตัวทันที เย่ว์หยางและนางพญากระหายเลือดรู้สึกประหลาดใจจนพวกเขาผละออกจากกัน มีเพียงเสี่ยวเหวินหลีผู้ไม่รู้เรื่องทำนองนี้ยังคงกอดเย่ว์หยางแน่น
เย่ว์ปิงละเมองึมงำคำพูดบางคำ ก่อนที่จะหลับต่อไป
ไฟในใจเย่ว์หยางตอนนี้มอดลงแล้วขณะที่เขาอุ้มน้องสาวขึ้นและดูข้อมูลใหม่เกี่ยวกับโคเงาในคัมภีร์ของเขา
โคเงา : ชื่อ “อาหมัน” ตั้งชื่อโดยเจ้านายของนาง อสูรรูปมนุษย์ ปลดล็อคสติปัญญา อสูรทองระดับ 5 สิ่งมีชีวิตครึ่งเดียว อสูรพิทักษ์ การปรับโครงสร้างร่างมนุษย์ 5 ครั้ง ทักษะพิเศษ : ย่ำพสุธา, เนตรประหาร, เนตรโลหิตพิฆาตซ้ำ
ไม่ได้มีคำอธิบายที่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อเย่ว์หยางเห็นคำว่า ปลดล็อคสติปัญญา เขากลับสัมผัสรู้ได้มากขึ้น
ไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าโคเงาจะได้เพิ่มระดับหรือไม่ ถ้าโคเงาไม่มีปัญญา อย่างนั้นนางก็กลายเป็นแค่อสูรโง่ที่มีชะตาต้องทำงานหนักทุกวันในอนาคต นางจะมีอนาคตต่อเมื่อสติปัญญาของนางถูกปลดล็อค
จากนั้นนางก็สามารถวิวัฒนาการเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้.. สำหรับอสูรในตำนาน เย่ว์หยางไม่หวังอะไรมาก สวรรค์เท่านั้นที่รู้ความต้องการที่จะวิวัฒนาการอสูรเป็นอสูรในตำนาน แม้แต่อสูรที่ฉลาดอย่างนางพญากระหายเลือดขนาดพูดภาษามนุษย์ได้ก็ยังไม่ใช่อสูรศักดิ์สิทธิ์ เย่ว์หยางจะมีความสุขมากหากโคเงาจะวิวัฒนาการเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เย่ว์หยางมีความสุขมากในเรื่องคำอธิบายของโคเงาก็คือ กลายเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งหนึ่งไปแล้ว
ดูเหมือนว่าในที่สุดโคเงาก็เริ่มมีชีวิตแล้ว
แม้ว่านางอาจจะดูไม่เหมือนมนุษย์เสียเลยทีเดียวในตอนนี้ แต่ในที่สุดนางก็เริ่มมีชีวิตแล้ว นี่อาจหมายความว่านางใกล้อยู่ในระดับเสมือนมนุษย์ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป นางก็คงถึงขอบเขตเสมือนมนุษย์ในไม่ช้า
ได้ร่างเสมือนมนุษย์และครอบครองสติปัญญาก็อยู่ในข้อกำหนดที่จะกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นจุดที่สำคัญมาก
ต่างจากนางพญากระหายเลือดอาหมันยังคงเชื่อฟัง และมีความประพฤติดีหลังจากนางวิวัฒนาการ
เย่ว์หยางเรียกให้นางเข้าไปในคัมภีร์เงิน เขาคิดว่านางจะต่อต้านเขาเหมือนนางพญากระหายเลือด แต่นางก็ยังเชื่อฟังเขาด้วยดีเปลี่ยนเป็นแสงสีทองและกลับเข้าไปในคัมภีร์โดยไม่ขัดขืนเลย
ขณะที่เย่ว์หยางเปิดคัมภีร์ดูและเห็นภาพของโคเงา เขารู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง บรรดาอสูรมากมาย มีเพียงนางและเสี่ยวเหวินหลีเชื่อฟังเขา ขณะที่คนอื่นๆ ฮุยไท่หลางจะซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเขาและแอบกินแก่นเวท นางพญากระหายเลือดไม่จำเป็นต้องพูด นางเป็นเจ้าหญิงที่จู้จี้จุกจิก พอคิดถึงเรื่องนี้เย่ว์หยางไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ตีก้นน้อยๆ ของนางพญากระหายเลือดจนทำให้นางสะดุ้ง
“ทำไม ท่าน..ตี..ข้า?”
นางพญากระหายเลือดไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านายของนางจึงลงโทษนาง นางคิดถึงเรื่องการต่อสู้ที่ผ่านมา นางยังทำไม่ดีที่สุดอีกหรือ?
“ตี, ตี!”
เย่ว์หยางเขินเล็กน้อย เขากำลังคิดเรื่องนั้น แต่มือเจ้ากรรมกลับไปตีก้นนางพญากระหายเลือดจริงๆ
พอตระหนักว่าตีนางผิด เขาไปไล่จับปีศาจดอกหนามที่กระโดดโลดเต้นไปทั่วอย่างมีความสุข เขาจับนางพาดกับเข่าและตีก้นเธอด้วยเช่นกัน
แต่ต่างจากนางพญากระหายเลือดอย่างน่าแปลกใจ เย่ว์หยางตีก้นปีศาจดอกหนามอย่างเบาๆ ปีศาจดอกหนามไม่สนใจที่ตัวเองถูกตี เธอกลับสนุกสนานแทน เธอบิดก้นน้อยๆ ออกและยังลังเลที่จะหนีออกจากเข่าของเย่ว์หยาง
เธอกระโดดผางเมื่อเย่ว์หยางเพิ่มแรงตีก้นเธอทิ้งท้ายดังป้าบ
เธอน้ำตาคลอเบ้าขณะที่ไปแอบอยู่ข้างหลังนางพญากระหายเลือดอย่างหวาดกลัว
นางพญากระหายเลือดคิดว่าท่าทางโรแมนติคของนางคงช่วยนางทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ มันใช้ปกป้องความโกรธของเจ้านายนางไม่ได้ ดังนั้นนางจึงก้มหน้ายอมรับการลงโทษจากเจ้านาย
เย่ว์หยางไม่ได้อธิบายอะไรด้วยตนเอง เขาเพียงแต่ยืนจ้องพวกนาง ก่อนที่จะยืนมือลูบศีรษะพวกนาง แสดงว่าเขาให้อภัยพวกนาง ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชายำเกรงจากนั้นให้ความอ่อนโยนคือวิธีการปกครองอย่างหนึ่ง เย่ว์หยางจำคนอื่นมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาเอง
ผลก็คือ นางพญากระหายเลือดและปีศาจดอกหนามพอได้สัมผัสปลอบโยน ทั้งสองกอดเย่ว์หยางน้ำตาซึม แทบจะร้องไห้ออกมา
พอเห็นว่าเย่ว์หยางยกโทษให้พวกนาง จากที่ทำท่าร้องไห้ก็เปลี่ยนเป็นความยินดีร่าเริงแทน ทั้งสองคนพยักหน้ารับทันที แสดงความตั้งใจของพวกนางว่าต่อไปจะยอมเชื่อฟังเขา
เสี่ยวเหวินหลีมองดูเรื่องทั้งหมดอย่างขบขัน
เธอมีความสัมพันธ์พิเศษกับเย่ว์หยางและเธอก็ยังมีความประพฤติดี ดังนั้นเย่ว์หยางจึงสบายใจและชมเธอทุกครั้ง เธอไม่เคยกังวลว่าเธอจะถูกลงโทษ
พอเห็นว่าเย่ว์หยางเอามือวางอยู่ศีรษะนางพญากระหายเลือด เสี่ยวเหวินหลีดึงมือของเย่ว์หยางมาลูบศีรษะเธอด้วยเช่นกัน เธอเงยหน้าใช้ตากลมโตมองเย่ว์หยางและพยักหน้าให้พลางยิ้มกว้าง เหมือนกับว่าความรู้สึกของมือของเขาที่วางอยู่บนศีรษะเธอให้ความรู้สึกที่สะดวกสบาย
“ไปกันเถอะ ไปดูที่วิหารเจมินี่ (คนคู่)”
เย่ว์หยางมีความมั่นใจหลังจากผ่านด่านวิหารทอรัสแล้ว เขาต้องการจะผ่านด่านวิหารเจมินี่ให้ได้โดยเร็ว
อสูรแบบไหนกันแน่ที่รอเขาอยู่ที่วิหารเจมินี่?
เย่ว์หยางแบกเย่ว์ปิง ขณะที่เขาพาเสี่ยวเหวินหลีเดินหน้าต่อ
นางพญากระหายเลือดและปีศาจดอกหนามจอมซนปฏิเสธที่จะกลับเข้าไปในคัมภีร์จึงเดินตามมาข้างหลัง คนทั้งกลุ่มเข้าไปในประตูเทเลพอร์ตสีทองที่หลังห้องโถง เทเลพอร์ตเข้าไปในวิหารลำดับที่สามของวิหารสิบสองนักษัตร นั่นคือวิหารเจมินี่ (คนคู่)
ผู้พิทักษ์วิหารแอรีสก็คือไคเมราสามหัว, กระทิงเผือกแห่งวิหารทอรัสเป็นอสูรที่ใกล้จะกลายเป็นอสูรศักดิ์แล้ว กระทิงเผือกที่สามารถกลายเป็นมนุษย์ได้
อสูรที่แข็งแกร่งชนิดไหนกันที่จะมีอยู่ในวิหารเจมินี่?
เย่ว์หยางจำได้ว่าเชี่ยนเชี่ยนบอกไว้ว่ามีกฎอย่างหนึ่งในภารกิจวิหารสิบสองนักษัตร วิหารทั้งสิบสองจะแบ่งออกเป็นสี่ชุด แต่ละชุดจะมีสามวิหาร อสูรในวิหารที่สามจะแข็งแกร่งที่สุดแน่นอน
ซึ่งก็หมายความว่าอสูรที่พิทักษ์วิหารเจมินี่, เวอร์โก, ซาจิทาเรียส, ไพซีส จะแข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับวิหารอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น จากคำบอกเล่าของนักรบที่มาท้าแข่งที่ผ่านมาเป็นพันๆ ปี กลับได้รับผลลงเอยที่น่ากลัว อสูรจากวิหารที่สาม เจมินี่และที่หก เวอร์โก กล่าวกันว่าผิดธรรมดามากที่สุด
ในรอบหมื่นปีที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถผ่านด่านสองวิหารนี้ได้
นักรบธรรมดาจะไม่เริ่มท้าประลองจากวิหารแอรีส เกือบทุกคนเลือกที่จะเริ่มการท้าประลองที่วิหารที่เจ็ด ไลบรา (ตราชั่ง), หรือไม่ก็วิหารที่สิบ แคปริคอร์น (มังกร)
พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่สามารถจบภารกิจจนผ่านด่านได้ แต่พวกเขายังมีหวังที่จะผ่านด่านได้ในบางวิหาร
ดังนั้น นักรบเกือบทั้งหมดจะหลีกเลี่ยงวิหารเจมินี่และวิหารเวอร์โก ทั้งสองด่านนี้ยากผิดปกติ
ผ่านไปเป็นหมื่นปีแล้ว บันทึกที่สูงที่สุดสำหรับวิหารสิบสองนักษัตร นักรบไม่ปรากฏชื่อคนหนึ่งสามารถผ่านด่านได้ถึงเก้าวิหาร บันทึกนี้กลายเป็นขีดจำกัดความสามารถของมนุษย์ ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะสถิตินี้ได้ นักรบไม่ปรากฏนามผู้นี้ได้เริ่มที่วิหารที่เจ็ด ไลบราและไปแพ้ที่วิหารเจมินี
เขาทิ้งคำพูดไว้ไม่กี่คำ : ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านด่านวิหารเจมินีได้ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ตอนนี้ หัวใจเย่ว์หยางเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เป็นอสูรชนิดใดกันแน่ที่ทำให้นักรบที่แข็งแกร่งผู้ครองสถิติยาวนานหมื่นปีถึงกับพูดคำนี้ออกมา? จริงๆ แล้วสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งนั้นคืออะไร ถึงได้ไม่มีใครในช่วงเวลาที่ผ่านมาหมื่นปีเอาชนะได้?
เมื่อเย่ว์หยางเข้าวิหารเจมินี่ เขาก็ตระหนักได้ว่า ไม่มีสัตว์อสูรในที่นี้เลยแม้แต่ตัวเดียว
มันเป็นวิหารว่างเปล่า
แต่หลังจากเย่ว์หยางเดินเข้าไปในสังเวียนสู้ที่เป็นจุดป้องกันโดยอสูรตัวหัวหน้า เขาจึงได้รู้เหตุผลที่นักรบไม่ปรากฏนามได้พูดอย่างนั้น เมื่อเย่ว์หยางเห็นอสูรพิทักษ์วิหาร เขาไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่ตะโกนลั่น ว่า
“โธ่เว้ย! มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง? มิน่าเล่าถึงได้บอกว่าด่านนี้ผ่านไม่ได้ กลับกลายเป็นว่าจริงๆ แล้วไม่สามารถเอาชนะได้ พระเจ้า, แล้วข้าจะสู้กับเจ้าสิ่งนี้ได้ยังไง?”
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=218