ตอนที่ 200 วิวัฒนาการของโคเงา
เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องกฎโบราณ เย่ว์หยางไม่สามารถจู่โจมทำร้ายด้วยวิทยายุทธตนได้ เขาสามารถทำได้เพียงใช้อสูรของเขาต่อสู้
เย่ว์หยางยังคงไม่สามารถแน่ใจเรื่องความแข็งแกร่งของกระทิงเผือก แม้เขาจะมีทักษะญาณทิพย์ระดับ 4 เขาก็แค่รู้สึกว่ากระทิงเผือกแข็งแกร่งกว่าไคเมราสามหัวที่เคยเผชิญหน้ามาก่อน
เสี่ยวเหวินหลีแปลงเป็นสายรุ้งและเวียนอยู่รอบตัวเย่ว์หยาง แม้ว่าเย่ว์หยางจะไม่สามารถโจมตีได้ แต่การตอบสนองที่ว่องไวรวดเร็วกลับมีประโยชน์มากในการต่อสู้ เขาหลบการโจมตีได้ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถตอบโต้คู่ต่อสู้ของเขาได้ ด้วยการสนับสนุนของเย่ว์หยาง พลังต่อสู้ของเสี่ยวเหวินหลีก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ตาของกระทิงเผือกซึ่งเต็มไปด้วยแววฉลาด เริ่มฉายแววอำมหิต
รังสีอำมหิตแผ่ออกมาทันที ขณะที่กระทิงเผือกจ้องมองพวกเขา
ถ้าเป็นสัตว์อสูรอื่นๆ พวกมันอาจจะหลบหนีไปนานแล้ว อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเหวินหลียังคงอยู่ในความสงบ ขณะที่เธอใช้มือเกาะเย่ว์หยางขณะที่เขาเหินขึ้นไปบนท้องฟ้า
เย่ว์หยางเรียกคัมภีร์ของเขาออกมาและกางโล่ป้องกันการโจมตีเมื่อมีการโจมตีที่รุนแรงใส่เขา
ขณะเดียวกัน เขายังคงปล่อยเสี่ยวเหวินหลี เพื่อที่ว่าจะได้เหินเข้าใส่กระทิงเผือก เสี่ยวเหวินหลีพุ่งลงมาเหมือนกับลูกธนูจากระดับความสูง จุดอ่อนของกระทิงเผือกอยู่ตรงส่วนหลังด้านบนของมัน
นี่เป็นเพียงมุมเดียวที่ตาของมันไม่สามารถโจมตีได้ แม้ว่ากระทิงเผือกจะไม่มีจุดบอดที่ด้านหน้า, หลัง, ซ้ายและขวาของมัน แต่พื้นที่เล็กๆ ตรงหนอกหลังของมันกลับเป็นจุดบอด
ยิ่งเสี่ยวเหวินหลีไปอยู่บนสันหลังของมันได้ โอกาสที่เธอจะโจมตีใส่จุดบอดของมันได้ก็มีสูง แต่ถ้ามันอยู่ในระดับความสูง ก็จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับกระทิงเผือกที่มันจะจ้องดูคู่ต่อสู้ของมัน
เสี่ยวเหวินหลีบิดร่างตัวเองในอากาศ เธอเปลี่ยนวิถีการบินเป็นครั้งคราว ขณะที่ดิ่งลงมาเพื่อป้องกันไม่ให้กระทิงขาวได้หันมาจ้องใส่เธอ
กระทิงเผือกต่อสู้ได้ดีในระยะไกลด้วยการใช้คลื่นระเบิดกระแทกโจมตี ดังนั้น จุดอ่อนของมันต้องเป็นการต่อสู้ในระยะประชิด
เย่ว์หยางได้ความรู้มามากขึ้นและมีประสบการณ์ต่อสู้กับศัตรูเขามาแล้ว เขาจัดยุทธวิธีตามเหตุผลมากที่สุด เมื่อผสานกับปฏิกิริยาที่ไม่ธรรมดาของเสี่ยวเหวินหลีและการปรับตัวเข้ากับเย่ว์หยางได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เย่ว์หยางมั่นใจว่าเสี่ยวเหวินหลีสามารถเอาชนะกระทิงเผือก ตราบใดที่เสี่ยวเหวินหลีสามารถเข้าไปได้ใกล้กระทิงเผือกและใช้ทักษะพันธนาการของเธอได้ กระทิงเผือกจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ไคเมราสามหัวก็ยังแพ้เสี่ยวเหวินหลีด้วยวิธีแบบนี้มาก่อน
“มูวว...มูวววว!”
จู่ๆ เจ้ากระทิงเผือกก็ยืนขึ้นได้เหมือนกับมนุษย์อย่างน่าประหลาดใจ ตาของมันจ้องมาที่เสี่ยวเหวินหลีที่กำลังบินวนลงมาด้วยความเร็วสูง มันใช้พลังคลื่นกระแทกอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง
เย่ว์หยางแว่บไปปรากฏด้านหลังเสี่ยวเหวินหลีทันที เขาอุ้มเธอและแว่บหายตัวเมื่อคลื่นจู่โจมพุ่งเข้าใส่ร่างของเธอ
เขาเรียนวิธีนี้มาจากสื่อจินโหว ความจริงเขาใช้ทักษะนี้ได้ เนื่องจากมันต้องการปราณก่อกำเนิดจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์วิกฤติมาก เขาต้องช่วยเสี่ยวเหวินหลีทันที
แม้ว่าเสี่ยวเหวินหลีจะไม่ตายจริงๆ เนื่องจากเธอเป็นอสูรพิทักษ์ เย่ว์หยางก็ไม่ต้องการเห็นเธอได้รับบาดเจ็บ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเห็นเธอตาย เย่ว์หยางไม่สามารถตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นกระทิงเผือกหรือพลังคลื่นระเบิดที่มันครอบครอง จะมีความสามารถในการฆ่าศัตรูได้เหมือนกับเนตรประหารหรือไม่
เขาจะไม่เสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น
เย่ว์หยางและเสี่ยวเหวินหลียกเลิกแผนร่วมกันโจมตีหลังจากพวกเขาพลาดท่าในการจู่โจมที่น่าทึ่งของพวกเขา พวกเขาเริ่มขยับอีกครั้ง มองหาโอกาสโจมตีที่ดีที่สุดอย่างอดทน
บรรดากระบวนการโจมตีที่คาดไม่ถึงทั้งหมด นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาตระหนักเป็นครั้งแรกว่าศัตรูสามารถมองทะลุกลยุทธของพวกเขาได้
ดูเหมือนว่ากระทิงเผือกจะมีสติปัญญาที่สูงส่ง
เย่ว์หยางขยับก่อนขณะที่เขาจะพุ่งเข้าหากระทิงเผือก เขาเอาอสูรทองน้อยที่แปลงร่างเป็นปลอกแขนของเขาและมุ่งเป้าไปที่กระทิงเผือก แม้ว่าเย่ว์หยางไม่สามารถโจมตีหรือปล่อยปราณก่อกำเนิดได้
แต่เขาก็สามารถปามีดเล็งไปที่ตาขวาของกระทิงเผือกได้ กระทิงเผือกถูกหลอกล่อโดยการโจมตีของเขา เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ มันถอยไป 2-3 ก้าวและหลบการโจมตีของอสูรทองน้อยอย่างชาญฉลาด พลังอัดระเบิดถูกปล่อยออกมาอีกครั้ง
เย่ว์หยางเรียกคัมภีร์แบบฉับพลันและกางโล่ป้องกัน
เขาป้องกันแรงระเบิดอัดกระแทกได้
ขณะเดียวกัน เสี่ยวเหวินหลีปรากฏที่ด้านหลังของเย่ว์หยาง ดาบคู่ของเธอจู่โจมเข้าใส่กระทิงเผือกที่เพิ่งจะใช้พลังคลื่นอัดกระแทกออกไป
สัตว์อสูรตนใดตนหนึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาช่วงสั้นๆ เพื่อปลดปล่อยพลังของตนซ้ำอีก ยิ่งเป็นการโจมตีที่มีพลังมาก ก็เป็นช่องว่างขนาดใหญ่
เย่ว์หยางและเสี่ยวเหวินหลีกำลังเพ่งเล็งเวลาช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม คลื่นโจมตีอัดกระแทกได้ยิงใส่พวกเขาก่อนที่เสี่ยวเหวินหลีจะใช้ทักษะพันธนาการของเธอ แรงกระแทกของมันเป่าจนเย่ว์หยางและเสี่ยวเหวินหลีกระเด็นไปพร้อมกัน ในกลางอากาศ เย่ว์หยางและเสี่ยวเหวินหลีประกบฝ่ามือกันและกันและเหินเข้าไปในตำแหน่งที่ต่างกันพร้อมๆ กัน
คลื่นอัดกระแทกที่น่ากลัวระเบิดออกมาเหมือนน้ำบ่า แข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนถึงสิบเท่า
กลับกลายเป็นว่ากระทิงเผือกซ่อนพลังที่แท้จริงของตนไว้ มันต้องการปล่อยการโจมตีอย่างต่อเนื่องและน่าประหลาดใจอย่างตอนนี้
ถ้าเย่ว์หยางและเสี่ยวเหวินหลีไม่ตื่นตัวในการต่อสู้ บางทีการโจมตีที่คาดไม่ถึงอาจจะทำได้สำเร็จ กระทิงป่าทองแดง ที่อยู่ห่างออกไปมากกว่าสามสิบเมตรด้านหลังเย่ว์หยางถูกคลื่นอัดกระแทกจนกระเด็นไปด้วย ร่างใหญ่ๆ
ขนาดนั้นปลิวไปในอากาศกระเด็นไปถึงร้อยเมตร ไม่แน่ใจว่ายังอยู่หรือตายแล้ว แม้แต่กลุ่มนักรบหัววัวที่อยู่ห่างไปเป็นร้อยเมตรยังถูกแรงอัดกระแทกจนเซถลา
ผู้พิทักษ์พฤกษาร้อยปีทั้งสองถูกทำลายและล้มลง
เย่ว์ปิงร้องเรียกเย่ว์หยางที่หายไป และไม่ปรากฏอยู่ในที่ใดๆ เลย ขณะที่นางโยนลูกกลมเปลวเพลิงเขียวไปที่ผู้พิทักษ์พฤกษาร้อยปีเพื่อรักษาแผลพวกมันที่โดนแรงระเบิดเต็มไปหมด
ขนาดนางพญากระหายเลือดยังบินอย่างสับสนบนท้องฟ้าเนื่องจากอาการมึนงง ในที่สุดนางก็ตั้งสติได้หลังจากผ่านไปชั่วครู่
โคเงาอาหมันเริ่มวิ่งเข้ามาอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่นางเห็นว่าโคเผือกเร่งเข้าไปหาเย่ว์ปิง
“มูวววว์!”
โคเงากระโจนขึ้นสูงในขณะที่กระทิงเผือกวิ่งเข้าหาเย่ว์ปิง นางปล่อยหมัดเข้าใส่หลังของกระทิงเผือกอย่างหนักหน่วง กระทิงเผือกหันหัวของมันมาและใช้ตาเรืองแสงสีแดงของมันจ้องใส่โคเงา โชคดีที่แสงสีแดงที่ส่องระเรื่อในดวงตาของโคเงาก็มีเช่นกัน มันเป็นการปะทะกันระหว่างเนตรประหารกับเนตรประหาร
ร่างของกระทิงเผือกโงนเงน ดูเหมือนมันจะมึนงง แต่ไม่ถึงกับล้มลงไป
ตรงกันข้ามกับโคเงาที่ยืนหยัดอยู่ได้ครู่หนึ่ง แต่ก็ล้มลงจนได้ นางพญากระหายเลือดบินโฉบลงมาและปล่อยคลื่นเสียงใส่ข้างหูของกระทิงเผือก
กระทิงเผือกโงนเงนอีกครั้ง และเกือบหมดสติเพราะคลื่นเสียงกรีดร้อง
เสี่ยวเหวินหลีแว่บออกมาและฟันใส่คอของกระทิงเผือกด้วยดาบคู่ของเธอ
น้ำแข็งจับตัวอย่างรวดเร็ว กระทิงเผือกถูกแช่แข็งเป็นตุ๊กตาน้ำแข็งขนาดใหญ่ แม้ว่ามันจะดิ้นรนก็ตาม
เย่ว์หยางลงมายืนที่พื้นด้วยสภาพที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เขาไม่มีเวลาตรวจดูอาการโคเงา เขาโบกมือให้เย่ว์ปิงและชี้บอกให้นางออกไปจากตรงนั้นและกลับไปที่ห้องโถง
กระทิงทองป่าทั้งสองตัวพุ่งเข้าโจมตีเย่ว์หยางเหมือนกับว่าพวกมันต้องการฆ่าเย่ว์หยางด้วยเขายักษ์ของมัน เย่ว์หยางถือมีดที่เกิดจากการแปลงร่างของอสูรทองน้อยลึกลับ มันเป็นเรื่องง่ายเมื่อเขาฟันเขาของกระทิงทองป่าข้างหนึ่งแทบไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงอะไรมากเลย เสี่ยวเหวินหลียังไวกว่า เธอพุ่งเข้าหากระทิงทองอีกตัวหนึ่ง ขณะที่เธอยื่นมือออกไป ดาบโค้งของเธอก็แทงลึกเข้าที่ตาของกระทิงทองป่า
ทันใดนั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมร่างทั้งหมดของกระทิงเผือกก็แตกเป็นชิ้นเล็กน้อย
หมัดขนาดยักษ์ชกออกมาจากจากน้ำแข็งแตก
เป้าหมายของหมัดทำลายล้างเป็นนางพญากระหายเลือดที่กำลังบินต่ำลงมาด้วยความเร็วสูงเพื่อจู่โจมร่วมประสานกับเย่ว์หยางสู้กับกระทิงทองป่า
นางพญากระหายเลือดไม่ทันสังเกตว่านางบินเข้าหาความตาย มันสายเกินไปที่เย่ว์หยางจะถอนการอัญเชิญนาง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่วิกฤตินี้ เงาสายหนึ่งกระโดดเข้ามาขวางหมัดยักษ์นั้นไว้
บึ้ม!
หมัดขนาดใหญ่นั้นต่อยจนเงาร่างนั้นเป็นรูและทะลุผ่านไป
เงานั้นจับกำปั้นของศัตรูซึ่งยังคงเดินหน้าเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เงานั้นจับหมัดไว้แน่นมีควันและไฟออกมาจากปากและจมูกของมัน
เป็นโคเงาที่ล้มลงอยู่บนพื้นเมื่อชั่วครูที่ผ่านมา
เนตรประหารใช้งานอีกครั้ง
มียักษ์หัววัวสีทองยืนอยู่ด้านหลังน้ำแข็งที่แตก ร่างของนางงอและดูเหมือนจะล้มลงกับพื้น ก่อนที่เสี่ยวเหวินหลีจะตอบสนองได้ทัน ยักษ์หัววัวได้ชันเข่าและยืนขึ้นจนได้
เมื่อมันจ้องมอง ปล่อยพลังคลื่นระเบิดสองครั้งได้ระเบิดออกมาเหมือนจะท่วมทั้งภูเขา
โคเงาอาหมันยื่นมือนางออกมาและคว้าห่วงทองของยักษ์หัววัวไว้แน่น ขณะเดียวกัน อักษรรูนก็ปรากฏอยู่บนหน้าผากนาง
นอกจากนี้ อักษรรูนสีทองยังปรากฏที่ฝ่ามือที่ยังคว้าห่วงทองไว้
แสงสีทองแผ่กระจายแแว่บออกมา
ทันใดนั้น ห่วงทองหลุดออกจากจมูกของยักษ์หัววัว จากนั้นมันลื่นลงไปคล้องข้อมือของอาหมันกลายเป็นกำไลทองของนาง อักษรรูนบนกำไลทองส่องแสงพร่างพราย ขณะที่ยักษ์หัววัวคำรามลั่นคลื่นระเบิดถูกปล่อยออกมาในเวลาเดียวกันทำให้เกิดแรงระเบิดขนาดใหญ่
บึ้มมมม!
คลื่นอัดกระแทกกระจายตัวไปทั่วบริเวณ
ดูเหมือนคลื่นระเบิดทำให้สั่นสะท้านไปทุกที่
แรงของคลื่นระเบิดทำให้เย่ว์ปิงหมดสติทันที
เวลาผ่านไป นางลืมตาขึ้น นางสังเกตว่าเย่ว์หยางกำลังปล่อยให้นางพญากระหายเลือดและเสี่ยวเหวินหลีพันแผลที่ยังมีเลือดหยดในสภาพเปลือยครึ่งตัว
“พี่สาม, ยักษ์หัววัวหายไปไหนแล้ว?”
เย่ว์ปิงถามขณะที่นางพบว่าที่เกิดเหตุระเกะระกะไปด้วยซากกระทิงทองแดง กระทิงเงิน กระทิงทองนอนกระจายอยู่ กลายเป็นว่ายักษ์ทองหัววัวไม่รู้ว่าอยู่ไหนและพี่ชายนางบาดเจ็บที่ซี่โครง นางพญากระหายเลือดก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่งด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บของนางก็ยังนับว่าเบาเมื่อเทียบกับเย่ว์หยาง
ที่บาดเจ็บหนักที่สุดกลับเป็นโคเงา อกและท้องของนางอยู่ในสภาพดูไม่ได้เลย
โชคดีที่นางไม่มีร่างเลือดเนื้อจริงๆ ที่สำคัญที่สุด นางเป็นอสูรพิทักษ์ ถ้านางเป็นอสูรธรรมดา นางอาจตายไปแล้ว
เมื่อเย่ว์หยางพบว่าเย่ว์ปิงฟื้นแล้ว เขารีบโบกมือทันทีและพูดว่า
“ไม่มีอะไรหรอก นี่เป็นแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย ยักษ์ทองหัววัวกลับคืนร่างเป็นกระทิงเผือกแล้ว พลังของมันลดลงเมื่อสูญเสียห่วงทองไป มันเทเลพอร์ตหายไปหลังจากมันเปลี่ยนเป็นแสงสีทองไปแล้ว ดูเหมือนว่าเราผ่านด่านวิหารทอรัสได้สำเร็จแล้วนะ ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะยากลำบากขนาดนี้”
เย่ว์ปิงยังคงมีความกลัวหลงเหลืออยู่ นางไม่เคยคิดว่ากระทิงเผือกจะสามารถแปลงเป็นอสูรร่างมนุษย์ และกลายเป็นนักรบหัววัวตัวเมียที่มีขนาดพอๆ กับโคเงา
ยิ่งไปกว่านั้น นักรบโคเถื่อนหญิงซึ่งเป็นร่างแปลงของกระทิงเผือกยังมีพลังมากกว่าโคเงา
บางทีมันเป็นอสูรในตำนานที่แม่เฒ่าอู่เถิงพูดถึง มันสามารถอยู่ในร่างมนุษย์ก็ได้ มิน่าเล่าถึงมีพลังมากนัก
นางไม่เพียงแต่ปล่อยพลังคลื่นระเบิดได้เท่านั้น แต่ยังปล่อยพลังเนตรประหารได้ถึงสองครั้ง ความจริงที่น่ากลัวที่สุดก็คือนางยังไม่เป็นอันตรายใดๆ เมื่อโคเงาใช้เนตรประหารของนางจ้องตอบ โชคดีที่พี่ชายของนางแข็งแกร่งกว่ากระทิงเผือก มิฉะนั้นเย่ว์ปิงไม่สามารถคิดได้ว่าการต่อสู้จะจบลงอย่างไร
เย่ว์ปิงหลับตาของนางขณะที่นางคิดถึงมัน ตอนนี้นางตระหนักได้แล้วว่าช่องว่างระหว่างนางกับพี่ชายนางห่างกันมากแค่ไหน ถ้านางไม่พยายามให้มากขึ้น นางอาจไม่สามารถช่วยพี่ชายในอนาคตได้
นางต้องฝึกผู้พิทักษ์พฤกษาให้หนักขึ้นในครั้งต่อไป ทั้งนี้ นางไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงพี่ชายของนางเหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้่อีกต่อไป
เย่ว์ปิงตัดสินใจแน่วแน่อยู่ในใจ
เย่ว์หยางไม่มีความคิดว่าในใจนางกำลังคิดอะไรอยู่
เขายังคงเป็นห่วงเมื่อเขานึกถึงการต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้น
ห่วงทองคำเป็นสมบัติเทพ เขาไม่แน่ใจว่าการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับอสูรกระทิงจะเป็นไปนานแค่ไหน ถ้าโคเงาไม่ได้ชิงมันมาจากกระทิงเผือก
ซากของอสูรกระทิงถูกเก็บเอาไว้ในแหวนลิช หนึ่งในซากกระทิงทองป่าถูกทิ้งเอาไว้เพื่อใช้ในการฟื้นฟูสภาพร่างกายอาหมัน เย่ว์หยางไปที่ห้องโถงด้านซ้ายและพาปีศาจดอกหนามมาขณะที่เย่ว์ปิงหลับพักผ่อน
เมื่อเขาวิ่งออกไปที่ลานนอกวิหาร ฮุยไท่หลางฆ่านักรบหัววัวหมดเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม มันเผชิญการท้าทายอีก เพราะมันโดนดวงตาปีศาจนับร้อยที่ลอยอยู่ในอากาศต่อต้าน ฮุยไท่หลางยังคงต่อสู้กับพวกมัน
นางพญากระหายเลือดบินมาช่วย นางถือดาบทองฆ่ามังกรในมือขวาและถือดาบเงินทำลายดวงตาที่ยืมมาจากเย่ว์ปิง
เสียงคลื่นกรีดร้องดังก้องไปทั่ว
ดวงตาปีศาจเริ่มร่วงลงมาทีละตัว
แม้แต่นัยน์ปีศาจที่อยู่ไกลที่สุดก็ยังรู้สึกมึนงง
ในที่สุดฮุยไท่หลางก็ดูยิ่งใหญ่และได้แสดงพลังได้ในที่สุด มันกระโจนเข้าหานัยน์ตาปีศาจและกัดมันอย่างต่อเนื่อง ความเร็วในการฆ่าของมันไวกว่านางพญากระหายเลือดที่ใช้ดาบสังหารพวกมันเสียอีก
แม้ว่าปีศาจดอกหนามจะไม่ชอบซากนัยน์ตาปีศาจ แต่เธอก็ยังเชื่อฟังคำสั่งเย่ว์หยาง ใช้ต้นไม้ของเธอกลืนกินนัยน์ตาปีศาจทั้งหมดไม่ว่าเป็นหรือตาย นางพญากระหายเลือดทำได้เพียงจ้องมองอย่างว่างเปล่า ขณะที่นางมองดูป่าดอกหนามกลืนกินนัยน์ตาปีศาจทั้งเป็นจนหมด พลังอะไรกัน? นางเป็นเครื่องจักรสังหารที่ฆ่าได้อย่างไร้ความปราณี
“เร็วเข้า เคลียร์พื้นที่สนามรบเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการรางวัลของข้า!”
เย่ว์หยางไม่ดูอีกต่อไป เขาหันไปรอบๆ วิ่งกลับมาหาเย่ว์ปิงและแบกนางขณะถามเสี่ยวเหวินหลีและผู้ติดตามคนอื่นๆ ของเขา
สำหรับการฟื้นฟูร่างของโคเงา ขณะเดียวกันเย่ว์หยางยังคิดหาทางไปด้วย
หลังจากผ่านด่านวิหารแอรีสได้แล้ว เย่ว์หยางได้รางวัลเพิ่มปัญญาจากกฎโบราณ
ดังนั้นเขาจะได้รับรางวัลอะไรหลังจากเขาผ่านด่านวิหารทอรัสได้?
เย่ว์หยางกังวลว่าเขาจะไม่สามารถรอได้อีกต่อไป
ในความคิดองเขา ควรจะมีจำกัดเวลาสำหรับการรับรางวัล รางวัลจะใหญ่มากถ้าเขาจบการต่อสู้ในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้น เขาจึงยังไม่เก็บศพนักรบหัววัวและแก่นเวท แต่กลับหันไปไล่ฆ่าพวกอสูรอื่นๆ ทั้งหมด
เมื่อเย่ว์หยางกลับมาถึงที่ด้านหลังวิหารอย่างใจจดใจจ่อ เขาตระหนักว่ากลไกลับถูกเปิดไว้แล้ว ภาพสงครามทวยเทพปรากฏอยู่บนผนัง
วิหารทอรัสมีรูปแบบการสร้างคล้ายๆ กับวิหารแอรีส ปฏิมากรรมรูปเทพธิดาผู้ช่วยทั้งสองซึ่งวิหารแอรีสมีกลับแทนที่ด้วยปฏิมากรรมนักรบทองหัววัว 2 รูปที่ถือขวานในมือในวิหารทอรัสนี้ เย่ว์หยางเรียกคัมภีร์ของขาออกมา เขารู้สึกกังวลมากเนื่องจากเขายังไม่สามารถรับรางวัลใดๆได้ แล้วจากที่เขาพยายามแก้ปริศนาทั้งหมด
นางพญากระหายเลือดและปีศาจดอกหนามก็ตามเขาเข้ามาในวิหารด้วย พวกนางเกือบจะย้ายปฏิมากรรมนักรบหัววัวออกไป ขณะที่ไม่มีการตอบสนองใดๆ
เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาสู้จบไม่ทันเวลา
มีรางวัลที่ผูกติดกับข้อจำกัดเวลา เริ่มจากวินาทีที่กระทิงเผือกเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวหรือ?
เย่ว์หยางผิดหวังนัก ถ้าเขารู้เรื่องเร็วกว่านี้ เขาคงวิ่งเข้าไปในวิหารก่อนทันที รางวัลหายไปเนื่องจากเขาต้องการฆ่านัยน์ตาปีศาจ เขาล้มเหลวในขั้นตอนสุดท้าย ที่เขามัวแต่ระมัดระวังมากเกินไปและให้ความสนใจในทุกรายละเอียด
เสี่ยวเหวินหลีกอดขาเขาเบาๆ เธอกระพริบตาราวกับว่ากำลังพยายามปลอบโยนเย่ว์หยาง
“ไม่เป็นไรนะ!”
เย่ว์หยางลูบศีรษะน้อยๆ ของเธอเบาๆ เขาพยายามคิดในอีกแง่หนึ่ง ทำไมประติมากรรมเทพธิดาผู้ช่วยในวิหารทอรัสถึงได้แตกต่างจากวิหารแอรีสมากนัก? ที่วิหารแอรีส เขาต้องวางบัตรแก้วผลึกบนตาชั่งที่เทพธิดาถืออยู่ หรือว่าเขาควรจะวางบัตรแก้วผลึกในปากของประติมากรรมนักรบหัววัว?
หรือเขาควรจะรูดบัตรผ่านนัยน์ตารูปประติมากรรม? เย่ว์หยางล้วงบัตรออกมาและพยายามลองดู แต่ไม่มีผลตอบสนองอะไรเลย เย่ว์หยางรู้สึกว่า เขาคิดอะไรบางอย่างออกที่เขายังไม่สามารถเข้าใจได้ในขณะนั้น
ทันใดนั้น เสี่ยวเหวินหลีชี้ไปที่คัมภีร์
ไม่มีอะไรในคัมภีร์ หมายความว่าไงกัน?
แสงสีทองสว่างวาบบนคัมภีร์ทันที ขณะที่เย่ว์หยางรู้สึกงุนงง โคเงา อาหมันก็ออกมาเองโดยที่เย่ว์หยางไม่ได้เรียก
นางยื่นมือตรงไปที่เย่ว์หยาง เงาสองสายลอยเข้าไปหาร่างของประติมากรรมนักรบหัววัว จากนั้น มันกลายเป็นแสงสีม่วงแดงอยู่ภายในตาของนักรบหัววัว ในที่สุดแสงสีแดงก็ลอยกลับเข้ามาที่นัยน์ตาของโคเงา
“เป็นไปได้ไหมว่า รางวัลถูกจำกัดให้เฉพาะอสูรรูปวัวเท่านั้น?”
เย่ว์หยางมองดูคำอธิบายของโคเงาบนคัมภีร์ของเขาอีกครั้งหนึ่ง เขาพบว่านางได้รับวิวัฒนาการและมีการเปลี่ยนแปลงใหม่บางอย่าง
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=217