ตอนที่ 187 เสริมพลังสามชั้น P.2
ความรู้สึกแปลกแว่บขึ้นมาในใจเขา
ก่อนหน้านี้ เจ้าเด็กนี่ถูกชกกระเด็นด้วยหมัดของถูเฉิงหมัดเดียวจนกระเด็นถอยหลังไปสิบเมตรกระแทกเสาหักและแทบจะทำให้ผนังพังทลาย
ทันทีที่ถูเฉิงมีเสริมพลังอสูรถึงสองชั้น พลังของเขาต้องเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า และด้วยหมัดที่ต่อยเต็มกำลัง เจ้าเด็กนี่ปะทะกับพลังหมัดของเขา กลับกระเด็นถอยไปเพียงสิบเมตร
นี่หมายความว่าอย่างไร?
นี่หมายความว่าเจ้าเด็กนี่พัฒนาตัวเองในการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง และยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พลังของเขามีความรุดหน้ามาถึงเดี๋ยวนี้ จากเมื่อตอนที่เขาถูกซัดหมัดเดียวจนผนังพัง แต่ตอนนี้กลับแทบจะเทียมเท่าถูเฉิงที่เสริมพลังถึงสองชั้น ถ้าพวกเขายังคงสู้กันต่อไป โดยถูเฉิงยังคงใช้พลังของเขาอย่างต่อเนื่อง
และเจ้าเด็กนี่ยังคงก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากผ่านการขัดเกลานานพอ นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสองอย่างถูเฉิงอาจพ่ายแพ้นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่งก็ได้
เจ้าเด็กนี่มีพรสวรรค์สามารถเรียนรู้และเพิ่มความสามารถในการต่อสู้แน่ มิฉะนั้นจักรพรรดินีราตรีคงไม่เสนอให้เขากับถูเฉิงประลองตัดสินกันตัวต่อตัว
ปีศาจกฎฟ้าก็ยังไม่รังเกียจมัน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอะไรเด่นชัด แต่นางก็อาสาเป็นกรรมการเอง
ขณะที่ความคิดนี้แว่บผ่านเข้ามาในใจเขา ประมุขนิกายพันปีศาจถึงกับโกรธจัด เขารู้สึกว่าจักรพรรดินีราตรีกับมารกฎฟ้าสมคบกันหลอกลวงเขา
ที่สำคัญที่สุด ความจริงที่ว่า “นาง” คงเห็นด้วยที่ใช้การประลองตัวต่อตัวตัดสิน นี่พิสูจน์ได้ว่าทักษะธรรมชาติของเจ้าเด็กนี่ไม่ใช่ทักษะพันธนาการ นี่เป็นไปได้ว่าอาจเป็นทักษะของสัตว์อสูรของเขา พรสวรรค์ที่แท้จริงของเจ้าเด็กนี่คือเรียนรู้และเพิ่มความสามารถขณะต่อสู้ได้
บึ้ม!
ประมุขนิกายพันปีศาจเห็นว่าเย่ว์หยางยังคงถูกบังคับให้ถอย แม้จะปะทะกับหมัดครั้งที่สอง
เขารับทราบและนับจำนวนก้าวที่เย่ว์หยางถอย ก่อนหน้านี้ ยังคงเป็นสิบก้าวและเขาถอยไปสิบเมตร
แต่ครั้งนี้เป็นการถอยเก้าก้าวและยังคงเป็นเก้าเมตร.. แต่รอยเท้าตอนนี้ลึก แต่ละรอยกระแทกลงไปในพื้น ช่วง 2-3 ก้าวแรกจะลึกมาก แต่สองก้าวสุดท้ายกลายเป็นตื้นขึ้น
“เจ้าเด็กน้อย! ใช้พลังเจ้าทั้งหมดสิ! ฮ่าฮ่าฮ่า ความเข้มแข็งของเจ้าไปอยู่ที่ไหนหมด หรือว่ามีเพียงแค่นี้?”
ถูเฉิงตอนนี้มีความหยิ่งมาก เขารู้สึกว่าพลังของเขาเหนือกว่าของศัตรูของเขาอย่างสิ้นเชิง หมัดของเขาทุกหมัดมีผลต่อเย่ว์หยาง เขาคาดว่าเย่ว์หยางต้องเจออีกสักสิบหมัด หรือไม่ก็ซัดเขาให้ล้มลงกับพื้น สลายความแข็งแกร่งและรับบาดเจ็บหนักจนกระอักเลือด เพราะการต่อสู้กับนักสู้ปราณก่อกำเนิดแตกต่างจากการต่อสู้แลกเปลี่ยนทักษะของนักสู้ธรรมดา ในสถานการณ์ที่มีผู้ไม่สามารถป้องกันตัวได้เลย ตราบใดที่เขายังรับการโจมตีจากนักสู้ปราณก่อกำเนิด เขาก็จะพังทลายทันที
ตราบใดที่ร่างของเจ้าเด็กนี่ดูดซับพลังโจมตีของเขา ทันทีที่เขาใช้พลังหมัดที่ได้รับการเสริมพลังถึงสองชั้นกระดูกในร่างของเขาทั้งหมดคงถูกบดเป็นชิ้น
แม้ว่าเขาจะได้รับการช่วยเหลือได้ทันเวลา แต่อนาคตของเขาย่อมถูกทำลายเช่นกัน
ถูเฉิงยินดีมากจนยิ้มออกมาเต็มหน้า
เขาเงื้อหมัดยักษ์ขึ้นสูงเตรียมพร้อมจะทุบลงเต็มกำลัง บีบบังคับให้เย่ว์หยางรับหมัดของเขา
“เดี๋ยวก่อน ถูเฉิง ยอมแพ้การต่อสู้ครั้งนี้เถอะ อย่าสู้ต่อไปเลย”
ประมุขนิกายพันปีศาจไม่โง่เกินไปนักที่จะปล่อยให้บริวารของตนเป็นเป้าหมายฝึกฝีมือให้คนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเด็กนี่ยังมีศักยภาพมากมาย ถ้าพวกเขาปล่อยให้เขาได้เพิ่มระดับอย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นตำแหน่งสิบอันดับแรกของตนเองก็จะต้องขยับออกไปอีก เขาตัดสินใจยอมแพ้การแข่งขันครั้งนี้ การพ่ายแพ้การแข่งขันไม่เป็นไร แต่เขาจะปล่อยให้เจ้าเด็กนี่พัฒนาต่อไปไม่ได้
“ว่าไงนะ?”
ทุกคนไม่อยากเชื่อขณะที่พวกเขามองดูประมุขนิกายพันปีศาจอย่างตะลึง
“ฮืม..นับว่ายังฉลาด!”
นางเซียนหงส์ฟ้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่พึมพำเบาๆ โดยไม่รู้สึกลำบากใจ
“ท่านประมุขนิกาย, ท่านขอให้ข้ายอมรับความพ่ายแพ้หรือ? จะให้ข้าคุกเข่าขอให้เจ้าเด็กนี่ยกโทษให้หรือ?”
ถูเฉิงตกใจมาก ถ้าคนที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ประมุขนิกายแล้ว เขาคงใช้กำปั้นโต้ตอบการกระทำนี้ไปแล้ว เขาไม่นึกฝันเลยว่าประมุขนิกายที่เขาเคารพที่สุดจะสั่งให้เขายอมรับความพ่ายแพ้ ยอมรับความพ่ายแพ้มีความหมายถึงอะไร? ก็หมายความว่าต่อหน้าผู้คุ้นเคยกันหลายคน เขาต้องคุกเข่าขอโทษต่อเจ้าเด็กนี่ซึ่งมีอายุเพียงยี่สิบปี
ศัตรูผู้ที่ทำให้เขาเสียหน้า.... ทันทีที่เขาคุกเข่า เขายังจะสามารถยืดอกใช้ชีวิตต่อไปได้อีกหรือ? เขาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดผู้หนึ่ง ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งขนาดไหน เขาจะสูงตระหง่านเหนือพวกเขาเสมอ แล้วตอนนี้ เขายังจะต้องคุกเข่าอีกหรือ?
“ข้าคิดว่าหาข้อสรุปการแข่งขันให้เร็วที่สุดได้เป็นการดีที่สุด ไม่สำคัญว่าเจ้าจะยอมรับความพ่ายแพ้หรือไม่ ไม่มีผู้ใดสงสัยเรื่องพลังของเจ้า ไม่ว่าผู้ใดเป็นฝ่ายคุกเข่า โลกนี้ก็ไม่เปลี่ยน”
ประมุขนิกายพันปีศาจถอนหายใจเบาๆ
“เจ้าเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง และข้าก็เคารพการตัดสินใจของเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังคงสู้ต่อไป เจ้าจะเสียใจเช่นกัน”
“ไม่มีทาง, แม้ข้าต้องตาย ข้าไม่มีทางเสียใจ!”
ถูเฉิงตะโกนตอบแทบจะเหมือนคนคลั่ง
“ข้ายอมตายดีกว่ายอมคุกเข่า!”
“ก็แล้วแต่เจ้า!”
ประมุขนิกายรู้ว่าไม่สามารถฝืนบังคับเขาได้ ตอนนี้เขาเข้าใจถึงเจตนาแฝงที่จักรพรรดินีราตรีเสนอให้ประลองตัดสินตัวต่อตัว การประลองตัดสินไม่มีใครจะบังคับแข็งขืนได้ ทันทีที่การต่อสู้แตกหัก
ต้องมีการตัดสินผู้แพ้และผู้ชนะด้วยการประลองตัดสิน แรงผลักดันของจักรพรรดินีราตรีไม่ได้มุ่งเป้าที่ถูเฉิง แต่เป็นเขาโดยเฉพาะ นางคาดว่าเขาจะต้องห้ามการต่อสู้เท่าที่เป็นไปได้ ดังนั้นนางถึงได้เสนอการประลองตัดสินที่ทรงเกียรติแทน
นอกจากนี้ ปีศาจกฎฟ้าสตรีเจ้าเล่ห์ยังได้เสนอแนะเงื่อนไขให้ผู้ขอยอมแพ้ต้องคุกเข่ายอมรับความพ่ายแพ้
นางหลอกถูเฉิง!
ปีศาจกฎฟ้ารู้จักนิสัยและอารมณ์ของถูเฉิงดี ต่อหน้าฝูงชน คนที่รักชื่อเสียงอย่างถูเฉิงไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้ เพราะการยอมรับความพ่ายแพ้หมายถึงต้องคุกเข่าร้องขอการอภัย
ถูเฉิงเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิด แต่เขาไม่ใช่นักสู้ประเภทที่ก้มหน้ายอมรับหรือทนต่อความอัปยศอดสูเพื่อตอบสนองเป้าหมายสำคัญ
ประมุขนิกายพันปีศาจถึงกับอารมณ์เสียอย่างหนัก ประการแรก เป็นเพราะเขาไม่สามารถบอกถึงพลังที่แท้จริงของเย่ว์หยางได้ ประการที่สอง เพราะเขาถูกจักรพรรดินีราตรีและปีศาจกฎฟ้าสมคบกันหลอกลวง ประการที่สาม บริวารของเขา ถูเฉิงไม่ยอมรับปฏิบัติตามคำสั่งของเขา อย่างไรก็ตาม เขาทนเก็บความต้องการไว้เงียบๆ
เขาไม่แสดงความรู้สึกนี้ให้คนอื่นรู้ ตรงกันข้าม เขาทำเป็นแสดงความนับถือการตัดสินใจของถูเฉิง ตอนนี้พฤติกรรมของเขาอาจทำให้ทุกคนสับสน แต่เขายังไม่เปลี่ยนมุมมองของสถานการณ์เพื่อประโยชน์ของตนเอง ถ้าเย่ว์หยางชนะจริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นทุกคนก็จะให้ความนับถือเขามากขึ้น เนื่องจากความสุขุมของเขาก่อนหน้านี้ ถ้าถูเฉิงแพ้ อย่างนั้น อย่างนั้นผลกระทบต่อเขาโดยรวมอาจลดลง
“ท่านประมุขนิกาย! โปรดอภัยให้ถูเฉิงด้วยที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งท่าน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าไม่เชื่อคำสั่งท่าน และมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน จากนี้ไป ถูเฉิงกล้ารับประกันได้ว่าข้าจะไม่มีทางขัดคำสั่งท่านอีก แต่วันนี้ โปรดอนุญาตให้ถูเฉิงได้ต่อสู้แตกหักกับสหายน้อยนี่เพื่อตัดสินหาผู้ชนะ ข้าจะยอมให้การต่อสู้จบแบบนี้ไม่ได้และข้าไม่เชื่อว่าข้าจะเป็นฝ่ายล้มหลว เขาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่ง และเขายังได้รับพลังจากอักขระโบราณ ระดับพลังของเขาไม่ห่างจากข้านัก แต่ท่านประมุขนิกาย ถูเฉิงมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้! เพราะถูกเฉิงฝึกทักษะเสริมพลังสามชั้นสำเร็จแล้ว!”
ถูเฉิงหันกายไปและคุกเข่าข้างหนึ่งกล่าวคำขออภัยประมุขนิกาย
คัดง้างกับประมุขนิกายไม่ใช่เรื่องตลก ถูเฉิงไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้น เขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งและอารมณ์ของประมุขนิกายดี
แต่ถูเฉิงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้
แม้ว่าเจ้าเด็กที่เขาเผชิญหน้าด้วยนี้จะมีศักยภาพและตอบสนองได้รวดเร็ว แต่เขาก็เป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดมือใหม่ เขาเป็นแค่เพียงระดับหนึ่ง ตัวของเขาเองเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดที่ฝึกหนักมานานถึงสองร้อยปี และเมื่อไม่นานนี้เขาฝึกการเสริมพลังสามชั้นได้สำเร็จ
ปริมาณของพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นจากการเสริมพลังสามชั้นแทบจะใกล้เคียงกับนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสาม
เป็นไปได้ไหมว่าด้วยด้วยพลังที่ไม่มีประมาณที่เกือบจะมีพลังแข็งแกร่งพอๆ กับพลังของนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสาม เขายังจะไม่สามารถเอาชนะเจ้าเด็กน้อยนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหนึ่งหรือ?
ต่อให้เขาถูกทุบตีจนตาย ถูเฉิงก็ไม่เชื่อว่าเขาจะแพ้!
แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อคำสั่งของประมุขนิกาย แต่เขาต้องการเอาชนะคู่ต่อสู้และกู้ศักดิ์ศรีของเขาคืนมา! เขาจะไม่คุกเข่าแสดงความอ่อนแอต่อนักสู้ระดับต่ำกว่าเขาแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเด็กนี่ไม่มี...
“เฮ้อ..!”
พอเห็นแบบนี้ นางเซียนหงส์ฟ้ายิ้ม นางดูเหมือนว่ากำลังดูเหยื่อโง่ที่กำลังตกเข้าไปในกับดักที่นางได้เตรียมไว้ก่อนหน้านี้
“เสริมพลังสามชั้นหรือ?”
เย่ว์หยางต้องการมีประสบการณ์พบกับพวกเสริมพลังสามชั้น
ตอนนี้ เย่ว์หยางได้เรียนรู้การเสริมพลังสองชั้นที่แท้จริงจากถูเฉิง เขาเพิ่มเงาปีศาจยักษ์สองร่างเสริมเข้าไปบนร่างของเขาเอง และตระหนักว่าพลังความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน กระทั่งเขาเกือบมีพลังเท่ากับถูเฉิง การเสริมพลังสามชั้นนี้..เงายักษ์สามร่างเสริมเพิ่มเข้าด้วยกัน จะมีพลังมากขนาดไหนกัน?
แต่เดิมนั้น เงายักษ์ต้องใช้เงายักษ์ห้าร่างเพื่อรวมเป็นร่างเดียว
ตอนนี้ที่เขาเรียนรู้การเสริมพลังสองชั้น เย่ว์หยางพบว่าเขาต้องการเพียงเงาปีศาจเพิ่มอีกหนึ่ง เพื่อสร้างผลกระทบเช่นเดียวกับการผสานกับเงาปีศาจยักษ์สองร่างก่อนนั้น
อาจเป็นไปได้ในทำนองเดียวกัน เขาแค่ใช้เงาเพิ่มอีกหนึ่งร่างเพื่อสร้างผลกระทบอย่างเดียวกันกับการเสริมพลังสามชั้นได้ไหม? เย่ว์หยางกำลังมองดูการเสริมพลังสามชั้น ดูว่าร่างของถูเฉิงเปลี่ยนไปอย่างไร
เขาสามารถใช้ทักษะประสานร่วมของญาณทิพย์ระดับสามและทักษะตรวจสอบไร้สิ่งกีดขวางตรงนี้ได้และเรียนรู้ทักษะเสริมพลังสามชั้นที่ถูเฉิงตั้งใจฝึกมาอย่างหนักถึงสองร้อยปี
ในการต่อสู้ครั้งนี้ เย่ว์หยางรู้สึกว่า ถ้าถูเฉิงรู้ความจริง เขาคงจะโกรธจัดจนแทบกระอักเลือดและเสียใจมากจนต้องการบดขยี้และทำลายกระดูกของเขาแน่
ดูเหมือนว่านอกจากประมุขนิกายพันปีศาจที่สามารถมองเห็นความรุดหน้าของเขาได้ นักสู้คนอื่นๆ ไม่ได้สังเกตเห็นความโดดเด่นของเขาเลย บางทีอาจมีคนสังเกตได้อยู่ แต่คนเหล่านี้เจ้าอุบายมากไม่มีการแสดงออกแต่อย่างใดเลย
เพียงคนเดียวที่มีการแสดงออกทางสีหน้าก็คือบุรุษชุดม่วงจากวังปีศาจ อาจเป็นได้ว่าเจ้าผู้นั้นติดตามนางเซียนหงส์ฟ้ากระมัง?
เย่ว์หยางมองดูนางเซียนหงส์ฟ้า เขายังต้องการปล้ำนางให้ได้สักครั้ง แต่เขาก็ยังมีคู่แข่งความรักอยู่มาก เขาสัมผัสกระแสความอิจฉาได้ ยังมีศัตรูอื่นที่ตามเกาะแกะนาง น่าหงุดหงิดจริงๆ
“ที่รัก! อย่ามัวแต่มองข้า, ตั้งใจสู้ให้ดี!”
นางเซียนหงส์ฟ้าส่งจูบให้เย่ว์หยาง
“.......”
เย่ว์หยางไม่มีอะไรจะพูด
“น่ารังเกียจ!”
เมื่อบุรุษรูปหล่อชุดม่วงเห็นช่นนี้ เขาไม่สามารถสะกดระงับความโกรธได้ ดูเหมือนจะมีเขางอกออกมาจากหน้าผากของเขา และปากของเขาก็เริ่มขยายแยกไปจนจรดใบหู เขาค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดหัวเป็นมังกร เพียงเมื่อเย่ว์หยางมองดูเขา เขาจึงรีบคืนสภาพกลับไปเป็นบุรุษหล่อเหลาเหมือนเดิม เย่ว์หยางรู้ได้ทันที อย่างนั้นเจ้าผู้นี้ก็ไม่ใช่มนุษย์ แต่ยังคงเป็นเหมือนเสียนกง ที่เป็นวิญญาณเต่าชราพันปีและเป็นสัตว์ประหลาดอยู่... ชื่อของเขาคือปีศาจมังกรฟ้า ดังนั้นอาจเป็นไปได้ที่เขาคือมังกรยักษ์พันปี?
เสียงจากการเสริมพลังสามชั้นของถูเฉิงดังมากขึ้น เขาเรียกบอลแสงสีแดงออกมาและโยนมันลงพื้น
พื้นเริ่มสั่นสะเทือนทันทีและเนินดินขนาดใหญ่ก็ปูดขึ้นมาจากแผ่นดิน มีลาวาพุ่งออกมาเหมือนกับภูเขาไฟ
ภายใต้การจับตาของฝูงจน ถูเฉิงดำลงไปในลาวาภูเขาไฟ
เปลวไฟสว่างวาบพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อการเสริมพลังสามชั้นทำได้สำเร็จ มันกลายเป็นเหมือนพายุสุริยะที่น่ากลัว กับคลื่นแรงระเบิดอัดกระแทกออกมาเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง จนคนทั้งหมดต้องถอยออกไปครึ่งก้าว ขณะที่ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่, จุนอู๋โหย่วฮ่องเต้และเฟิงขวง ทั้งสามท่านจับมือกันและกัน พวกเขาถูกดันจนถอยไปหนึ่งก้าวและครึ่งก้าว แสดงถึงพลังของการเสริมพลังสามชั้นนี้ รุนแรงขนาดไหน
เย่ว์หยางยังคงยืนอยู่กลางพื้นที่โบกมือตนเองเบาๆ เหมือนกับสาวน้อย
แรงคลื่นกระแทกและไฟนรกรอบๆ ตัวของเขาทั้งหมดกลายเป็นวงแหวนเปลวเพลิงลึกลับ โคจรรอบตัวเขาขณะที่พวกมันหมุนเร็ว นอกจากนี้แรงกระแทกยังคงเชื่อฟังเขาเหมือนกับเป็นลูกแมวเชื่องๆ พอเห็นเช่นนี้แล้ว หัวใจของประมุขนิกายพันปีศาจถึงกับสั่นสะท้าน
เขาสามารถบอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่ทักษะที่ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ผู้เพิ่งจะเลื่อนขึ้นมาเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดจะสามารถทำได้
ในหลายปีมานี้ แม้ว่าตัวเขาจะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะ ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสามสิบปีในการฝึกทักษะแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นๆ พวกเขาไม่สามารถจะชำนาญทักษะแบบนี้ภายในร้อยปีแน่ แม้แต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับสูงก็ยังไม่สามารถทำได้จนบัดนี้! เจ้าเด็กนี่ยังอายุเยาว์นักก็มีความเชี่ยวชาญในการควบคุมพลังของเขาแล้ว... “นาง” สอนอะไรให้เขาบ้างกันแน่? ถ้าเป็นวิธีฝึกธรรมดา เจ้าเด็กนี่ไม่มีทางทำได้อย่างนี้แน่นอน
ก่อนหน้านี้ ประมุขนิกายพันปีศาจสงสัยอยู่บ้างว่า ถูเฉิงอาจจะแพ้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่เต็มใจปล่อยให้เขากลายเป็นเป้าหมายการฝึกฝนของเย่ว์หยาง
ตอนนี้ เขาเชื่อเกือบเต็มร้อยแล้วว่า ถูเฉิงจะแพ้ในการต่อสู้นี้แน่นอน!
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=200