ตอนที่ 166 พบสาวๆ อีกครั้ง
สิ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาเย่ว์หยางคือกองซากศพแมงมุมยักษ์สุมต่อๆ กันขึ้นไปราวกับภูเขาย่อมๆ
เปลวเพลิงยังคงโหมกระหน่ำอยู่บนพื้นดิน
เมืองซือว่างทั้งเมืองถูกครอบงำด้วยพลังที่น่ากลัว แม้แต่ยอดเขาก็ถล่มทลายเป็นเสี่ยงๆ ภูเขาแยกออกจากกันมองเห็นเป็นหน้าผาและรอยขอบหยัก ดาวตกขนาดยักษ์ฝังลึกลงไปในพื้นไม่ไกลจากที่ซึ่งเย่ว์หยางยืนอยู่ มันยังคงคุกรุ่นระอุเหมือนกับถ่านเพลิงขณะที่มีควันลอยขึ้นท้องฟ้า
เห็นได้ชัดว่าการศึกครั้งใหญ่ที่เย่ว์หยางไม่สามารถจินตนาการได้เกิดขึ้นในสถานที่นี้ เป็นการต่อสู้ระหว่างนักสู้ระดับสูงแน่นอน
เย่ว์หยางลอบดีใจ
โชคดีที่เขาติดอยู่ในกับดักลวงตาไม่สามารถออกมาได้ มิฉะนั้น ถ้าเขากลับมายังมืองซือว่างและเผชิญกับการรบระดับนี้ อย่าว่าแต่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการต่อสู้ในฐานะบุคคลที่ 3 เลย
ตัวเขาเองก็อาจสูญเสียชีวิตก็ได้หากไม่ระวังตัวดีพอ คงเป็นเรื่องดีหากว่าเขาสามารถหาศพนักสู้ที่แข็งแกร่งสักคนมาเป็นปุ๋ย แต่คงจะดีที่สุดถ้าเขาไม่พบกับศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลาเดียวกัน มิฉะนั้นจะเป็นเรื่องอันตรายมากสำหรับเขา เย่ว์หยางตระหนักว่านอกจากแมงมุมยักษ์แล้ว
ยังคงมีซากอสูรบินอื่นนอนเกลื่อนอยู่บนพื้น ซากของพวกมันโดนเสาตรึงอยู่ทุกที่ เป็นที่ล้อมรอบด้วยโคมไฟ ยังมีคนจำนวนหนึ่งจัดสร้างค่ายพักเล็กๆ ด้านนอกค่าย ขุนพลเฒ่าหม่ามีเลือดเปรอะเต็มตัวนั่งอยู่บนโขดหินใหญ่
“เจ้ากลับมาจนได้ นั่งก่อนสิ”
ขุนพลเฒ่าหม่ามองดูอ่อนล้าเต็มที พอเห็นเย่ว์หยางกำลังเข้ามา แววแห่งความสุขก็ฉายอยู่บนใบหน้าของเขา
“ข้า...ข้ากลับมาช้า...”
เย่ว์หยางต้องการอธิบายว่าเขากลับมาช้าเพราะเขาเกิดความผิดพลาดเข้าไปในกับดักลวงตาจนต้องติดอยู่ภายในนั้นมากกว่าหนึ่งชั่วโมง แต่คำพูดเหล่านั้นก็ติดอยู่ที่ลำคอ ในที่สุดเขาตัดสินใจไม่เอ่ยถึงมัน
“ความจริงข้าต้องการให้เจ้าถูกองครักษ์วังหลวงจับตัวอยู่แล้ว ม้วนเทเลพอร์ตที่ข้ามอบให้เจ้าไป ได้ตั้งปลายทางไว้ที่อุทยานหลังวังหลวง แทนที่จะเป็นลานวงแหวนเทเลพอร์ตข้างพระราชวัง ข้ารู้ถึงระดับการรบที่จะเกิดขึ้นที่นี่ ข้าไม่ยอมให้คนอายุน้อยอย่างเจ้ากลับมายังสถานที่อันตรายแห่งนี้”
ขุนพลเฒ่าหม่ายื่นมือออกมาตบไหล่เย่ว์หยางเบาๆ
“ข้ามีความสุขมากแล้วที่เจ้ากลับมาอีกจนได้... ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ ที่เสี่ยงชีวิตตนเองไปขอความช่วยเหลือ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเจ้า บางทีทหารของเราจะพากันตายทั้งหมด ข้าอยากจะขอบคุณเจ้าที่ไม่ยอมทอดทิ้งเราจนถึงที่สุด เจ้าเป็นสหายที่คู่ควรต่อการเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ ในอนาคต ถ้ามีอะไรที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือที่เฒ่าหม่าผู้นี้ช่วยได้ ขอให้บอก ข้าจะมาช่วยเจ้าให้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ไกลเพียงใดก็ตาม”
“.....”
เย่ว์หยางตระหนักได้ว่าขุนพลเฒ่าหม่าผู้นี้แท้จริงก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเหมือนกัน
ความจริงท่านส่งเขาไปขอความช่วยเหลือ ก็เพราะต้องการปกป้องเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังจงใจวางแผนให้เขาบุกเขาอุทยานหลังพระราชวังจนถูกราชองครักษ์จับ สิ่งเดียวที่อยู่นอกเหนือคาดหมายของขุนพลเฒ่าหม่าก็คือเขากลับติดอยู่ในกับดักลวงตาแทน และติดมาจนถึงตอนนี้ ขุนพลเฒ่าหม่ายังนึกว่าเขาถูกราชองครักษ์จับและเพิ่งจะได้รับการปล่อยตัวออกมาในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องการขอกำลังเสริม เย่ว์หยางไม่ต้องการรับความดีความชอบในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ
เขารีบโบกมือปฏิเสธทันที
“เป็นหน่วยพายุเฮอริเคนของท่านส่งข่าวรายงานไปต่างหาก ไม่ใช่ข้า ข้าถึงได้กลับมาช้า นี่คือตราขุนพลพยัคฆ์ของท่าน”
ขุนพลเฒ่าหม่าหัวเราะทันที
“เจ้านึกหรือว่าทหารหน่วยพายุเฮอริเคนจะสามารถทำให้องครักษ์พิทักษ์ฟ้ายอมลงมือได้? ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นสององครักษ์พิทักษ์ฟ้าที่ถูกส่งออกมา นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทหารธรรมดาจะทำได้ ความจริง ม้วนเทเลพอร์ตที่ข้าให้เจ้าคือของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ข้า ข้าสามารถใช้มันได้เฉพาะระหว่างอยู่ในอันตรายคับขัน ม้วนเทเลพอร์ตนั้นไม่ได้ใช้เพื่อข้า ที่เป็นตาแก่กระดูกผุแล้ว มันใช้เพื่อวัตถุประสงค์จะปกป้องอนุชนรุ่นต่อไปอย่างเจ้า ปกติแล้ว ม้วนเทเลพอร์ตนี้ควรจะถูกนำมาใช้เมื่อกองทหารทั้งกองใกล้จะถูกกำจัด ก็คือวาระสุดท้ายในชีวิตของพวกเรา แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าทูลอะไรกับฝ่าบาท แต่ในที่สุด เพราะคำพูดของเจ้าที่ทำให้ฝ่าบาทส่งองครักษ์พิทักษ์ฟ้า 2 ท่านมาช่วยพวกเรา องครักษ์พิทักษ์ฟ้าจะไม่ขยับไปที่ไหนๆ โดยง่าย ต่อให้พวกเราทั้งหมดตายในการรบก็ตาม พวกเขามีข้อตกลงกับประเทศแล้วว่าพวกเขาจะไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศ องครักษ์พิทักษ์ฟ้าจะเคลื่อนไหวต่อเมื่อความปลอดภัยหรืออนาคตของประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงเพื่อปกป้องประเทศ... ตอนนี้ องครักษ์พิทักษ์ฟ้ายอมเคลื่อนไหวก็เพราะชีวิตของเจ้านั่นแหละเป็นเดิมพันที่ถูกคุกคามโดยวังปีศาจ พวกเขาไม่สนใจความเป็นความตายของทหารธรรมดา!”
“นี่....”
พอได้ฟังเรื่องนี้ สำหรับธรรมเนียมของทวีปมังกรทะยานที่ยอมปกป้องอนุชนรุ่นหลังอย่างสุดกำลัง เย่ว์หยางรู้สึกสุขใจและคิดว่ามันน่าขันในขณะเดียวกัน
พวกเขาสามารถละทิ้งชีวิตของทหารเป็นพันๆ แต่กลับจริงจังกับการหวงแหนอนุชนรุ่นหลังที่มีศักยภาพสูงส่งและสู้เพื่อปกป้องพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นนักรบจากประเทศของพวกเขา
เย่ว์หยางรู้สึกว่านี่มันน่าขันเกินไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาคิดทบทวนดู เขาก็คงรู้สึกว่ามันเป็นเหตุผลอย่างหนึ่ง
สำหรับนักสู้ปราณก่อกำเนิด คนทั่วไปก็เป็นเหมือนแค่มดแมลงที่ไม่มีความสำคัญ ถ้าพวกเขาต้องดูแลมดแมลงพวกนี้ทั้งหมด พวกเขาจะต้องเดือดร้อนไปทั่วแน่ คนธรรมดาที่จะต้องมายืนปกป้องรังมดแมลงอยู่ที่ด้านนอกและช่วยมดแมลงเหล่านี้ฆ่าศัตรูและปกป้องพวกเขาจากอันตรายอย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเด็กทารกน้อยอ่อนแอที่มีชีวิตตกอยู่ในอันตราย คนธรรมดาคนหนึ่งจะยอมปกป้องทารกน้อยนั้นแน่นอน พวกเขาอาจไม่อยู่ในพื้นที่งานและคอยจับตาดูโดยไม่ได้ทำอะไรก็จริง สำหรับนักสู้ปราณก่อกำเนิดผู้ที่ต่อสู้อยู่หอทงเทียนชั้น 8 หรือชั้นเก้าและในแดนปีศาจ ทวีปมังกรทะยานก็เป็นเหมือนแค่หมู่บ้านเล็กๆ ถ้ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับลูกเพื่อนบ้าน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกๆ ของบ้านตน พวกเขาก็ยังจะมาช่วยเหลือเด็กคนนั้น
หลังจากคิดออกมาทำนองนี้ เย่ว์หยางรู้สึกว่า ความจริงเป็นเรื่องธรรมดามาก
ถ้าเป็นเขา เขาก็อาจทำอย่างเดียวกัน
คนมากมายตายอยู่ในกลุ่มทหารรับจ้างอยู่ทุกวันแล้ว เขาไม่สามารถคร่ำครวญตกอยู่ในสภาวะโศกเศร้าของชาวโลกและอยู่เคียงข้างพวกเขาทุกคนได้ทุกวี่วัน เพื่อปกป้องพวกเขาจากถูกปีศาจทำร้ายได้ แม้ว่าเขาอาจไม่มีอะไรที่จะทำได้ เขาก็ยังไม่ได้ปล่อยวางเกินไป แต่ถ้าเขาพบทหารรับจ้างคนหนึ่ง ที่เขารักนับถือถูกสัตว์อสูรโจมตีทำร้าย บางทีเย่ว์หยางก็ยังจะช่วยเขาอยู่ดี...
นักสู้เหล่านั้นบางทีอาจมีความคิดและทัศนคติอย่างเขาก็ได้
เย่ว์หยางพยักหน้า เขาตระหนักว่า บางทีจักรพรรดินีราตรีคงจงใจขังเขาอยู่ในกับดักลวงตาเป็นเวลา 1 ชั่วโมงก็ได้
สำหรับเสียงของอีกคนหนึ่งที่ดูมีอำนาจ เป็นไปได้ไหมที่อาจจะเป็นฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเทียนหลัว หัวซวี่รี่?
อย่างไรก็ตาม ทำไมเสียง.. ทำไมเสียงฟังแล้วไม่เหมือนเสียงผู้ชาย? เป็นไปได้ไหมว่าฮ่องเต้หัวซวี่รี่ของอาณาจักรเทียนหลัวความจริงแล้วเป็นหญิง.. เย่ว์หยางรีบสลัดความคิดเช่นนั้นออกไป เป็นเพราะทวีปมังกรทะยานยกย่องบุรุษเหนือสตรี ถ้าหัวซวี่รี่ฮ่องเต้เป็นหญิง นางคงไม่ได้เป็นฮ่องเต้
ยิ่งไปกว่านั้น น้องสาวของหัวซิ่วรี่ฮ่องเต้ คงไม่ใช่จักรพรรดินีราตรี
หัวซวี่รี่ฮ่องมีพระขนิษฐาร่วมสายเลือดอยู่สองพระองค์ พระองค์หนึ่งเป็นพระราชชายาของจุนอู๋โหย่วฮ่องเต้ ขณะที่อีกพระองค์หนึ่งอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้แห่งสื่อจิน
บางเสียงที่ทรงอำนาจอีกเสียงหนึ่งคงเป็นหนึ่งในสามองครักษ์พิทักษ์ฟ้าก็เป็นได้ ขณะที่คนผู้นั้นไม่ปรากฏตัวอีกเลย ดังนั้นเขาหรือนางคงไปจากเมืองซือว่างแล้ว
“ในอนาคต เจ้าต้องระมัดระวังคนจากวังปีศาจเอาไว้ พวกมันอาจเล็งเจ้าเป็นเป้าหมายก็ได้”
ขุนพลเฒ่าหม่าแตะไหล่ของเย่ว์หยาง
“ข้าช่วยเจ้าไม่ได้มากนัก ข้าทำได้แต่เตือนเจ้าสัก 2-3 คำ ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ผู้เฒ่าหม่าคนนี้กับหน่วยพายุเฮอริเคนที่ข้าดูแลทั้ง 3 พันนายต่างเป็นหนี้ชีวิตเจ้า พวกเราจะช่วยเหลือเจ้าทุกเมื่อ!”
ขุนพลเฒ่าหม่ากระโดดลงมาจากโขดหิน โบกมือให้เขา จากนั้นจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง
ห่างออกไป เย่ว์หยางสามารถเห็นกองทหารหน่วยพายุเฮอริเคนโค้งคำนับให้เย่ว์หยาง จากนั้นจึงพากันขนย้ายสหายที่ได้รับบาดเจ็บใช้ม้วนเวทเทเลพอร์ตเคลื่อนย้ายไปจากแดนมรณะแห่งนี้
วันต่อมา
เย่คง, เจ้าอ้วนไห่และพี่น้องสกุลหลี่ถูกส่งตัวออกไปด้วยภารกิจอย่างหนึ่งซึ่งอาจารย์เสี่ยโหวเว่ยเลี่ยมอบหมายให้ทำ
เย่ว์ปิงและอี้หนานตรงกันข้าม ถูกอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าพาไปพบกับผู้อำนวยการสถาบัน การณ์กลับกลายว่าพวกนางต้องอยู่ช่วยงานคัดลอกและยังไม่ได้กลับมา พอไม่มีอะไรทำ เย่ว์หยางจึงเรียนรู้มิติเทเลพอร์ตโดยขอความรู้จากอาจารย์จิ้งจอกเฒ่า ตอนนี้อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าจึงถือโอกาสโอ้อวด เกทับโดยไม่เกรงใจ ทันทีที่เขาอ้าปาก
“อะไรกัน? เจ้าทำเรื่องง่ายๆ อย่างนั้นไม่ได้เหรอ? อัจฉริยะอย่างเจ้าไม่สามารถทำเรื่องง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง?”
เย่ว์หยางอึดอัดมากจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เขาเข้ามาหาอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าขอให้ช่วยสอนเขา ก็เพราะว่าเขาไม่รู้วิธี ถ้าเขารู้วิธี เขาคงเตะโด่งอาจารย์ท่านไปถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าไปแล้ว
หลังจากเยาะเย้ยกลั่นแกล้งเย่ว์หยางทั้งวันแล้ว อาจารย์จิ้งจอกเฒ่าสะใจและสุขในหัวใจจริงๆ
เขาให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อรวมทฤษฎีพื้นที่มิติ กับเย่ว์หยางไว้ศึกษา จากนั้นก็ผิวปากเดินจากไปอย่างสบายใจเพื่อร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง
“ข้าไม่เคยเห็นครูที่กวนโมโหแบบนั้นมาก่อนในชีวิต หวังว่าตาแก่คงไม่เดินตกถนนตายหรอกนะ”
เย่ว์หยางไม่รู้วิธีใช้คำสาปวิญญาณมรณะ มิฉะนั้น เขาคงสาปใส่หัวของอาจารย์จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์สัก 2-3 คำแล้ว โชคดีที่เย่ว์หยางอารมณ์เสียอยู่ไม่นานนัก ก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีแทน ทั้งนี้เป็นเพราะมีข้อความส่งมาจากก๊วนขโมยส่งถึงเขา เป็นจดหมายจากเจ้าเมืองโล่วฮัว นางบอกว่านางมาถึงเมืองซือว่างที่พังราบไปแล้ว และกระตุ้นเตือนให้เขามารับนางโดยเร็ว
พอได้อ่านข้อความนี้ อารมณ์ของเย่ว์หยางกลับกลายเป็นดีขึ้นทันตา
ชีวิตรักกับสาวงามของเขามาถึงแล้ว เนื่องจากเขายังไม่มีเวลาตามติดพันอี้หนาน เปลี่ยนเป็นเจ้าเมืองโล่วฮัวก็ดีเช่นกัน
ขณะที่ความรู้สึกรัญจวนผุดขึ้นมาในใจเขา เขาจำได้ถึงความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมที่สัมผัสได้จากหลังของเขา เมื่อตอนที่เขาแบกเจ้าเมืองโล่วฮัวในครั้งก่อน ความรู้สึกเช่นนั้น เย่ว์หยางรู้สึกร้อนและเสียวซ่านขึ้นมาทันที เหมือนกับถูกไฟเผาลนหรือถูกไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่าง ทำให้เขารู้สึกลำคอแห้งผาก
ดูเหมือนเขาคงเฉาแห้งตายแน่ถ้าเขาไม่ได้ชื่นชมเจ้าเมืองโล่วฮัวเร็วๆ นี้
เย่ว์หยางเปิดม้วนเทเลพอร์ตไปที่เมืองซือว่างที่ล่มสลายเป็นปลายทางที่หมายทันที เขาพาฮุยไท่หลางติดตามไปด้วย หลังจากที่ควันสลายไปแล้ว เขาตะโกนหา
“คนสวย! ข้ามาแล้ว ช่วยส่งยิ้มให้ข้าที!”
อย่างไรก็ตาม คนที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเย่ว์หยางไม่ใช่เพียงเจ้าเมืองโล่วฮัวที่กำลังยิ้มจนมองเห็นลักยิ้มของนางได้เท่านั้น แต่ยังมีหญิงงามลึกลับที่ยังถือหนังสือโบราณอยู่กับตัวด้วยอีกคน
เย่ว์หยางชะงักค้างเป็นหินทันที
เดิมที ได้พบหญิงงามอีกครั้งมีแต่จะทำให้หัวใจของเขาตื่นเต้นยิ่งขึ้น
แต่เมื่อขาได้พบกับหญิงสาว ไม่ได้มีแค่เพียงหนึ่ง แต่กลับเป็น 2 คน เย่ว์หยางถึงกับตื่นเต้นถึงระดับที่ไม่อาจสะกดยับยั้งได้อีกต่อไป
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะปลุกปล้ำกับสาวนางหนึ่งได้เต็มที่ กับสองคนก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก มันยากขึ้นไปอีกเป็นร้อยเท่า ไม่สิ เป็นพันเท่ายากกว่าปลุกปล้ำสาวงามนางเดียวเสียอีก
บางทีเขาคงรื่นรมย์กับเจ้าเมืองโล่วฮัวได้สำเร็จ ถ้าเขาได้พบนางในเวลาและสถานที่ๆ เหมาะสม ได้เขียนบทกวีที่โรแมนติคให้นางได้ประหลาดใจสัก 2-3 บทจากนั้นเปลื้องผ้านางและปล่อยตัวปล่อยใจเต็มที่ อย่างไรก็ตาม แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่านี่เป็นไปไม่ได้ขณะที่ถูกหญิงงามลึกลับจับตาดูอยู่
เป็นไปได้ไหมที่เขาจะรื่นรมย์กับพวกนางพร้อมกัน
สามเรามีความสุขพร้อมกันได้ไหม?
เย่ว์หยางรู้สึกว่าโอกาสที่จะทำได้สำเร็จยังน้อยยิ่งกว่าโอกาสที่เขาจะสามารถฆ่าสื่อจินโหวสองคนภายในกระบวนท่าเดียวเสียอีก
“พวกท่านรู้จักกันเหรอ?”
เย่ว์หยางมีความรู้สึกว่าหญิงสาวทั้งสองรู้จักกันมาก่อนที่จะมาพบเขาด้วยกัน เพื่อที่ว่าเขาคงจะไม่มีวิธีทำอะไรกับพวกนาง โชคดีที่เขาไม่ได้พาเย่ว์ปิงหรืออี้หนานมาด้วย มิฉะนั้นก็คงอึดอัดมากจริงๆ
“ไม่”
เจ้าเมืองโล่วฮัวและหญิงงามลึกลับปฏิเสธพร้อมกัน
“ท่านพยายามจะหลอกใครกัน?”
เย่ว์หยางแทบจะหัวเสีย เป็นไปได้อย่างไรที่พวกนางจะบังเอิญมารอเขาที่นี่พร้อมกัน หากว่าพวกนางไม่ได้รู้จักกันมาก่อน?
“ข้าไม่รู้จักนางจริงๆ, เย่ว์หยาง, นางเป็นใคร? แนะนำให้ข้ารู้จักหน่อยสิ”
เจ้าเมืองโล่วฮัวหัวเราะลั่น เสียงหัวเราะของนางแฝงแววอำมหิตเล็กน้อย นัยน์ตาของนางแหลมคมราวกับคมมีดแทบจะเชือดเฉือนเลือดเนื้อของเย่ว์หยาง
“ข้าไม่รู้จักว่านางเป็นใคร”
เย่ว์หยางไม่สามารถแนะนำนางให้เจ้าเมืองโล่วฮัวได้ เพราะเขาไม่เคยเห็นหน้าหญิงงามลึกลับที่อยู่เบื้องหลังผ้าคลุมมาก่อน เขาไม่รู้ว่าหน้าตานางเป็นเช่นไรด้วยซ้ำ
“อย่างนั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไร นางเพิ่งจะซื้อสิ่งนั้น... ไอ้ของแบบนั้นมันคืออะไรนะ?”
เจ้าเมืองโล่วฮัวได้ยินเย่ว์หยางใช้วลี “ซื้อซอสถั่วเหลือง” มาก่อน แต่นางลืม (สำนวนซื้อซอสถั่วเหลืองหมายถึงผู้ที่บังเอิญผ่านมาไม่มีธุระเกี่ยวข้องอะไร แต่ไม่ใช่คำที่ใช้ในทวีปมังกรทะยานจึงมีแต่คนที่คุ้นกับเย่ว์หยางถึงจะรู้ความหมาย)
“ก็แค่ซื้อซอสถั่วเหลือง”
ความทรงจำของหญิงงามลึกลับยังดีเยี่ยม นางยังจำได้ชัดเจน
“นางรู้จักความหมาย”ซื้อซอสถั่วเหลืองด้วย“แล้วเจ้ายังบอกว่าไม่รู้จักนางอีกเหรอ?”
เจ้าเมืองโล่วฮัวคว้าคอเสื้อของเย่ว์หยางทันที การกระทำของนางช่างคล้ายคลึงกับองค์หญิงเชียนเชียน อย่างไรก็ตาม นอกจากจับแขนเสื้อของเย่ว์หยางแล้ว องค์หญิงเชียนเชียนยังจ้องตาเย่ว์หยางเหมือนกับว่าต้องการจะดูให้ถึงก้นบึ้งจิตใจของเขา น่าเสียดายที่หลังจากทักษะลวงของเย่ว์หยางปรับระดับเพิ่มขึ้นทักษะหกรับรู้ของนางจึงตามเย่ว์หยางไม่ทัน
“นี่...”
เย่ว์หยางรู้สึกว่าหากเขาไม่สามารถรับมือสถานการณ์และตอบอย่างระมัดระวังและถูกต้อง ฝันรักของเขาคงถึงกาลอวสานแน่นอน
เพื่ออนาคตชีวิตรักที่สดใส เย่ว์หยางจำต้องกัดฟัน
เขาตัดสินใจโกหก!
ที่มา : https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=172