ตอนที่ 112 ร่ำไห้ กระอักเลือด ริษยา P1
ตอนแรกลุงใหญ่'เย่ว์ซาน'แสดงท่าทางเหมือนคนใจดีและเป็นคนชั้นสูงที่ถ่อมตน เขาฉีกยิ้มเต็มใบหน้า มองดูสุภาพ เขาโค้งคำนับมาที่ฮ่องเต้'จุนอู๋โหย่ว'และบิดาของเขา จากนั้นประสานมือคารวะตัวแทนจากตระกูลทั้งสามและหันมาพยักหน้าให้'เย่ว์หยาง'
“ซานเอ๋อ! ข้าเข้าใจในความกระหายใคร่รู้ของเจ้า แต่ทุกอย่างที่เจ้าปรารถนาจะเติมเต็ม เจ้าจะต้องปกป้องความภูมิใจ และมีความอดทนในการฝึก อีกทั้งยังหมายความว่าเจ้าไม่ควรรีบเร่งจนเกินควร ก่อนอื่นเจ้าควรฝึกพื้นฐานก่อน และทำความเข้าใจให้เต็มที่เพื่อให้มีรากฐานที่แข็งแกร่ง นี่คือวิธีเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่แท้จริง พอเห็นเจ้าเต็มไปด้วยความกล้าหาญทะเยอทะยานข้าก็พลอยสุขใจไปกับเจ้าด้วย ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนกับได้เห็นน้องสามปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้าอีกครั้ง ลุงรองของเจ้ากับข้าจะพยายามช่วยสนับสนุนเจ้าอย่างดีที่สุดและเราจะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งเต็มที่เหมือนกับน้องสามทีเดียว แม้ว่าจะยังไม่ใช่ตอนนี้ แต่ว่าในเวลาใดเวลาหนึ่ง ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ถ้าเจ้าพบเรื่องลำบากอะไรขึ้นมา เจ้ามาหาลุงรองหรือข้าก็ได้ แม้ต้องทุ่มให้ทุกอย่างเราก็จะช่วยเจ้า แค่บอกสิ่งที่เจ้าต้องการออกมาทั้งหมด ไม่ต้องกั๊กเอาไว้”
*กราวววว....*
พอได้ยินคำพูดที่จริงใจเหล่านี้ บรรดาผู้ชมทั้งหลายอดใจไม่ได้จึงปรบมือให้'เย่ว์ซาน' ลุงผู้แสนจะห่วงใยหลานชาย
“……”
'เย่ว์ปิง'ได้แต่นิ่งเงียบ
นอกจากนี้ คนภายนอกเหล่านั้นไม่รู้เรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตระกูลเย่ว์ ใครจะรู้กันว่าจิตใจของคนผู้นี้ มีพิษเช่นเดียวกับพิษงู? พอเห็นเขาชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบด้วยการกระทำที่หลอกลวงเช่นนั้น นางแทบอยากจะอาเจียนออกมา เขาได้ยกความเจ้าเล่ห์ขึ้นไปอีกระดับ
แน่นอนว่า ความจริงแล้ว'เย่ว์ซาน'ก็อยากรับคำท้าของ'เย่ว์หยาง'อยู่เหมือนกัน เขาต้องการฆ่าเจ้าเด็กบ้า'เย่ว์หยาง'ทันที 'เย่ว์ซาน'เองไม่ปรารถนาจะให้'เย่ว์ชิว'คนที่สองปรากฏตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นว่าเจ้าเด็กผู้นี้แตกต่างจากบิดาของเขาอย่างสิ้นเชิง
เขาหยิ่งจนน่าหมั่นไส้แถมยังฉลาดเป็นกรดอีก มันสร้างความลำบากให้เขายิ่งกว่าพูดตรงไปตรงมาและ เขาห้าวหาญเหมือนอย่าง'เย่ว์ชิว' ถ้าเขาไม่ได้จงใจท้าทายตรงๆ เช่นนี้ เขาคงหาโอกาสลอบฆ่าเจ้าเด็กนี่ก็ได้ ในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนั้น ทุกคนรวมทั้งฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ย'จุนอู๋โหย่ว'และบิดาของเขาจดจำและเข้าใจคำพูดและการกระทำของเขาแล้ว
แม้ว่าเขาฆ่า'เย่ว์หยาง' ก็เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ที่จะปกปิดเอาไว้ พวกเขาสามารถคาดได้ว่าเขาเป็นคนที่ฆ่า'เย่ว์หยาง' ที่สำคัญที่สุดคือพัฒนาการของเจ้าเด็กนี่รวดเร็วมาก ฝีมือของเขาพัฒนาแบบก้าวกระโดดจากชั่วเวลาไม่นานหลังจากทำสัญญากับคัมภีร์ ดูเหมือนว่าเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
จากที่เป็นคนใจเสาะ ขี้ขลาดและไร้ประโยชน์เมื่อปีที่ผ่านมา ถ้าเขาไม่ฆ่า'เย่ว์หยาง'ตอนนี้ บางทีในอนาคตอันใกล้นี้ เขาคงไม่อาจฆ่าเจ้าเด็กนี่ได้ ต่อให้ต้องการทำก็ตาม ตอนนี้เขาจะฆ่า'เย่ว์หยาง'ได้อย่างไร ต่อหน้าผู้คนนับพัน ภายใต้การจับตามองของผู้ชมทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึง'จุนอู๋โหย่ว'ฮ่องเต้ผู้ที่รักอัจฉริยะพอๆ กับชีวิตพระองค์เอง
แม้แต่บิดาของเขาเอง ก็มักจะสงสัยว่าเขาเป็นคนฆ่าน้องสาม ท่านไม่เคยเลิกสงสัยเขาตลอดหลายปีมานี้ 'เย่ว์ไห่'ตามสืบหาพยานหลักฐานอยู่เสมอ ถ้าเขาฆ่าเจ้าเด็กสวะไร้ประโยชน์ผู้นี้จริงๆ แล้ว อย่างนั้นผลที่คาดไม่ถึงก็จะตามมาจริงๆ เขาคิดว่าน้องรองของเขาผู้ที่มักหลงใหลสมบัติของตระกูลและสถานะของเขา จะได้รับประโยชน์ในที่สุด
“พี่ใหญ่พูดถูก หลานซานเอ๋อ, เราทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าฝีมือของเจ้าก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด และเจ้าก็ห่วงที่จะแสดงฝีมือในตระกูล อย่างไรก็ดี ที่สำคัญที่สุด เจ้าฝึกฝนมาเป็นระยะเวลาที่สั้นเกินไป ถ้าหากพวกเราพลั้งมือทำร้ายเจ้าจนบาดเจ็บหนักจะเกิดอะไรขึ้น? น้องสามและน้องสี่ยังต้องอาศัยเจ้าช่วยสืบทอดชื่อเสียงพวกเขา แล้วเราจะต่อสู้จริงจังกับเจ้าได้อย่างไร? บนเวที พวกเราควรจะมาเปรียบเทียบทักษะฝีมือแล้วมาพัฒนาร่วมกันต่างหาก นี่คือกฎที่บรรพบุรุษได้กำหนดไว้ให้เรา และสิ่งนี้ยังเป็นรากฐานสำหรับตระกูลเราทำให้ก้าวหน้าและผลิตนักรบชั้นยอดออกมา ถ้าซานเอ๋อต้องการพิสูจน์ความก้าวหน้า ทำไมเจ้าไม่สู้กับเทียนเอ๋อ, เยี่ยนเอ๋อและถิงเอ๋อเพื่อทดสอบทักษะตนเองเล่า? ด้วยวิธีนี้เจ้าจะได้ถือโอกาสแสดงความสามารถดีๆ ในการแข่งขันประจำปีใหม่นี้ได้แน่”
ลุงรอง'เย่ว์หลิ่ง'ก็ยังไม่กล้าสู้กับ'เย่ว์หยาง' กลับจ้อแทนว่าเขาเป็นลุงคนดีที่ยังรักและห่วงหวง'เย่ว์หยาง'หลานชายของเขามากเพียงไหน
*กราวววววว*
เมื่อผู้ชมได้ยินเช่นนั้น พวกเขาคิดว่าลุงทั้งสองคนนี้ทำหน้าที่ลุงได้เป็นอย่างดี จึงยืนขึ้นปรบมือส่งเสียงเชียร์
“สิ่งที่ท่านทั้งสองพูดมาจริงแท้แน่นอน”
แม้แต่ตัวแทนจากสามตระกูลใหญ่ที่เหลือยังอดยกย่องสรรเสริญพวกเขาไม่ได้ ในความเป็นจริงพวกเขารู้ว่าการชิงดีชิงเด่นภายในตระกูลเย่ว์เป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่มาก ทว่าพวกเขาทำเป็นเหมือนไม่รู้อะไร อย่างไรก็ตาม ตระกูลเย่ว์ไม่ใช่เพียงตระกูลเดียวที่มีการชิงดีชิงเด่นภายใน ในตระกูลอื่นเว้นแต่มีทายาทสืบทอดเพียงคนเดียว ลูกชายจะสู้เพื่อเอาชนะกันหากว่ามีพวกเขาสองคนเป็นทายาท เป็นแต่เพียงว่าแต่ละตระกูลต่างปกปิดเอาไว้ไม่ยอมพูดถึงมัน
พวกเขาต่างจากตระกูลเย่ว์ที่มีการแข่งขันในระหว่างรุ่นผู้เยาว์ทุกๆ ปี ความขัดแย้งของพวกเขาอาจมองเห็นได้ชัด ทุกคนสามารถบอกได้จากสิ่งที่เห็น ถ้าจะเอามาเปรียบเทียบดูแล้ว ความขัดแย้งภายในที่หมกเอาไว้ของแต่ละตระกูลก็เป็นเรื่องต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้อง พวกเขาต่างทำลายกันและกัน บางทีอาจรุนแรงกว่าตระกูลเย่ว์เป็นสิบเท่า
มีอยู่คราวหนึ่ง ท่านผู้รู้กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าทวีปมังกรทะยานไม่มีอัจฉริยะ เป็นแต่อัจฉริยะเหล่านั้นตายในระหว่างการชิงดีชิงด่นในภายในนั่นเอง คำพูดเหล่านี้คนโดยทั่วไปอาจไม่รู้ แต่บรรดาตระกูลทั้งหลายจะรู้กันทุกคน ผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดมักถูกอิจฉาและเกลียดชังมากที่สุด
ความจริง 'เย่ว์หยาง'รู้แล้วว่าลุงใหญ่'เย่ว์ซาน'และลุงรอง'เย่ว์หลิ่ง' 2 คนนี้เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ คงจะไม่ยอมรับคำท้าทายของเขา เขาแค่ต้องการกระตุ้นพวกเขาอย่างมีเป้าหมายแอบแฝง โดยประกาศความขัดแย้งภายในระหว่างครอบครัวที่สี่กับครอบครัวที่หนึ่งและที่สองให้สาธารณชนทราบ
ที่ผ่านมาเขาสามารถวาดภาพหน้าที่ใจดีของทั้งสองคนได้ แม้ว่าจะเรียกเสียงปรบมือได้จำนวนมาก แต่คนพวกนั้นอาจนินทาถึงการกระทำที่เจ้าเล่ห์ของ'เย่ว์ซาน'และ'เย่ว์หลิ่ง'อย่างรังเกียจเมื่อพวกเขากลับไปถึงบ้านก็ได้ 'เย่ว์เทียน'และ'เย่ว์เยี่ยน'ยังอยู่ในอาการลังเลว่าจะรับคำท้าทายหรือไม่? แค่เผชิญหน้ากับ'เย่ว์ปิง'ที่มีนักรบพฤกษาร้อยปี อสูรทองแดงระดับ 5 เป็นเรื่องลำบากพอแล้ว
ถ้าพวกเขาต้องสู้กับเจ้าบ้าที่เชี่ยวชาญวิทยายุทธ 'เย่ว์เทียน'และ'เย่ว์เยี่ยน'ไม่คิดว่า กลุ่มอื่นจะสามารถร่วมกันต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของเขาได้ดีสมบูรณ์ พวกเขารู้สึกว่า เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายคนที่ล้มและเป็นอันตรายต่อตัวเอง
ดังนั้น เกี่ยวกับเรื่องที่เย่ว์ปิงเป็นฝ่ายท้าทาย สองคนนี้จึงได้แต่นิ่งเงียบ มีเพียง'เย่ว์ถิง'ผู้มีร่างกายล่ำสัน คิ้วหนา ตาโตใบหน้าดูซื่อสัตย์ตรงไปตรงมากระโดดขึ้นเวลาและโค้งคำนับให้'เย่ว์หยาง'และ'เย่ว์ปิง'
“พี่สาม, น้องเจ็ด, ข้ามีสัตว์อสูรอยู่แค่ตัวเดียว แต่มันมีความสามารถแตกต่างกันถึง 3 อย่าง ซึ่งก็คือ ฝ่ามือหมียักษ์, หมีร่างศิลา, และพลังหมีพิโรธ ทั้งหมดมีพลังมากมาย ดังนั้นโปรดระวังให้ดี ข้าเกรงว่าจะพลั้งมือทำร้ายพวกท่านบาดเจ็บ”
คำพูดเปิดเผยเหล่านี้จาก'เย่ว์ถิง'
ทำให้'เย่ว์หยาง'รู้สึกได้ถึงบางอย่างในใจของเขา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่เสมอ ผู้เฒ่า'เย่ว์ไห่'ชราภาพมากแล้ว แต่ทำไมถึงยังไม่เตรียมตั้งประมุขตระกูลคนต่อไป? แม้ว่า'เย่ว์เทียน'และ'เยี่ยน'จะเป็นอัจฉริยะ แต่ความพฤติภายนอกไม่ค่อยดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีคุณสมบัติผู้นำตระกูลที่ดี อย่างไรก็ตาม เย่ว์ถิงไม่ใช่อัจฉริยะและสหายผู้น่าสงสารก็เป็นเพียงสวะ 'เย่ว์ปิง'และ'เย่ว์ชวง'ทั้งสองคนก็เป็นหญิงและน้องเก้า'เย่ว์เฟิง'ยังเด็กนัก
อาจเป็นได้ว่าประมุขตระกูลเย่ว์ไม่ได้เตรียมแผนว่าจะให้ผู้ใดเป็นประมุขตระกูล? ตระกูลเย่ว์ไม่เหมือนกับตระกูลคนชั้นสูงอื่นๆ พวกเขามีชื่อเสียงที่รู้จักดีในเรื่อง หุ่นรบ, วิชาทวนและวิชาออกศึกในโลกนี้ เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องมาหลายพันปีแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญพายุมามากเพียงใด ก็ไม่มีใครสามารถทำให้สถานะของตระกูลเย่ว์หวั่นไหวได้
ทุกคนคิดว่า ตระกูลเย่ว์ได้เปรียบที่สุดในการผลิตผู้เยาว์ผู้มีพรสวรรค์ออกมา และว่าพวกเขาเข้าใจถึงวิธีสอนและดูแลผู้นำตระกูลคนต่อไปได้เป็นอย่างดี กล่าวกันว่าประมุขตระกูลทุกคนจะมีอสูรระดับทองที่เรียกว่า “หมีมาตุภูมิ” ซึ่งตกทอดมาในแต่ละรุ่น นี่จะเป็นเครื่องรับรองความสามารถของประมุขตระกูล มันจะรักษาเสถียรภาพของตระกูลและยับยั้งศัตรูที่มาจากทั่วทิศ
ก่อนหน้านี้ แม้ว่า'เย่ว์ชิว'จะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงไปทั้งโลก 'เย่ว์ไห่'ก็ยังไม่เลือกเขาเป็นประมุขตระกูลคนถัดไป ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องแปลกมาก แม้แต่'เย่ว์หยาง'ก็ยังหาเหตุผลไม่เจอ หลังจากนั้นในการสนทนาคราวหนึ่ง บังเอิญหญิงงามได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ตระกูลเย่ว์ไม่เคยต้องการให้อัจฉริยะมาเป็นประมุขตระกูล
พวกเขาต้องการประมุขตระกูลที่เป็นคนใจดีและเรียบง่าย ประมุขตระกูลผู้มีความอดทนต่อพี่น้องของตนและครอบครัวที่เป็นญาติชั้นรองๆ บุคคลที่มีสิทธิ์รับเลือกประมุขตระกูลควรเป็นคนแข็งแกร่ง แต่เขาต้องมีใจอ่อนโยนและใจกว้าง เขาจะได้ไม่ฆ่าพี่น้องชายหญิงทันทีที่กลายเป็นประมุขตระกูล เหลือเพียงตนเองที่เป็นผู้รับมรดกต่อไป ผู้นำตระกูลเย่ว์อย่างน้อยต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสทั้ง 12 คน เขาไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งมาก แต่ต้องสามารถเป็นผู้นำตระกูลเย่ว์ได้ทั้งหมดให้ก้าวหน้าไปได้
มันเป็นเรื่องดีตราบเท่าที่เขามีความสามารถรักษาความรุ่งเรืองและประเพณีตระกูลเย่ว์ไว้ได้ 'เย่ว์หยาง'มักสงสัยอยู่เสมอ ใครจะเป็นประมุขตระกูลคนต่อไป? หลังจากมีเพียง'เย่ว์ถิง'ขึ้นมาบนเวที 'เย่ว์หยาง'ใช้ทักษะญาณทิพย์ตรวจสอบดู เขามั่นใจถึง 90% ว่าประมุขตระกูลคนต่อไปที่ผู้เฒ่าไห่ได้เลือกไว้แล้วและคอยดูแลอยู่ก็คือน้องห้า 'เย่ว์ถิง' เขาได้ทำสัญญากับสัตว์อสูรไว้แค่ตัวเดียว และอสูรนั้นก็คือหมีใหญ่
นี่แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าเป็นการเตรียมการเพื่อทำสัญญากับอสูรทองอย่างหมีมาตุภูมิ ที่จะตกทอดแก่ประมุขตระกูลในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น 'เย่ว์ถิง'ถูกส่งตัวเข้าวังตั้งแต่อายุยังน้อยและเป็นองครักษ์ขององค์ชายพระองค์หนึ่ง ด้วยวิธีแบบนี้ เขาสามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับราชตระกูลขณะที่ฝึกฝีมือตนเองไปด้วย เขายังอยู่ห่างจากความขัดแย้งภายในของตระกูล ทั้งยังอยู่และเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
'เย่ว์หยาง'ได้รับทราบความจริงอย่างดีแล้ว กลับกลายเป็นว่า'เย่ว์เทียน'และ'เย่ว์เยี่ยน'เป็นแค่หมากที่ผู้เฒ่า'เย่ว์ไห่'ใช้วางล่อหลอกความสนใจของสาธารณชน จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นี้เลือก'เย่ว์ถิง'ให้เป็นประมุขตระกูลคนต่อไปตั้งแต่แรกแล้ว ก่อนนี้ เมื่อเขาออกไปนอกตระกูลเป็นเวลา 2-3 เดือน 'เย่ว์หยาง'คาดว่าก็เพื่อฝึก'เย่ว์ถิง'อย่างลับๆ
“อสูรสายเสริมพลัง ชั้นทองแดงระดับ 5 หมีหฤโหดเหรอ?”
'เย่ว์ปิง'ตกใจมากเมื่อนางได้ยินชื่ออสูรของพี่ห้าของนาง
เดิมทีนักรบพฤกษาร้อยปีของนางเป็นอสูรทองแดงระดับ 3 นางพากเพียรฝึกฝนเพื่อยกระดับเป็นอสูรทองแดงระดับ 4 แล้วมันก็ได้ยกระดับเป็นอสูรทองแดงระดับ 5 เพราะพี่สามของนางมอบกิ่งแห่งพฤกษาชีวิตให้ นางไม่เคยคิดเลยว่าพี่ห้าของนาง 'เย่ว์ถิง'จะสามารถฝึกอสูรของเขาจนเป็นชั้นทองแดงระดับ 5 ได้ ประกายแสงสีแดงเป็นรูปหมีขนาดใหญ่ มันถูก'เย่ว์ถิง'เรียกออกมาและผสานร่างเข้ากับตัวของเขา
และหลังจากคำรามเสียงดังแล้ว ร่างของ'เย่ว์ถิง'ค่อยเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ร่างเขาขยายใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งของเขาขยายออกจนดูเหมือนเกราะหนังสวมอยู่บนร่างกายของเขา แสดงให้เห็นจำนวนกล้ามเนื้อที่น่าตกใจ ขนหมีงอกขึ้นบนลำตัวเขาทันทีและมือของเขากลายเป็นอุ้งเท้าหมี ตาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง
ที่มา:https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=112