ตอนที่ 103 ความก้าวหน้าระหว่างสู้
'เย่ว์ปิง'ก็ไม่ยอม นางเช็ดน้ำตาแล้วลงมาจากรถม้าช่วย'เย่ว์หยาง'ลากรถม้า 'เย่ว์หยาง'เกรงว่าจะมีคนลอบโจมตีเขา เขาจึงแนะนำให้นางกลับไปอยู่บนรถ แต่'เย่ว์ปิง'สั่นศีรษะและเดินไปที่ด้านหลังรถจากนั้นใช้กำลังของนางช่วยดันรถ นางมีความแน่วแน่ปรารถนาจะเดินเคียงคู่กับพี่ชายของนางช่วยเขาแบ่งเบาภาระอย่างเงียบงัน
'เย่ว์หยาง'รู้ว่านางดื้อรั้นยืนกราน ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรอีกต่อไปปล่อยให้นางทำตามที่นางพอใจ หญิงงามปาดน้ำตาและกอดเด็กหญิงตัวน้อยไว้แน่น นั่งอยู่ภายในรถอย่างเงียบงัน นางรู้ว่านางไม่ควรลงไปจากรถ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้บุตรและธิดาของนางลำบากได้
ดังนั้น ไม่ว่าแตกตื่นตกใจกลัวแค่ไหน นางก็ทำได้เพียงกัดริมฝีปากนั่งอยู่ภายในรถปล่อยให้ลูกๆ ของนางทั้งดึงและดันนางขึ้นสู่ปราสาทตระกูลเย่ว์ แม้ว่าพวกเขาจะกลับมาปราสาทตระกูลเย่ว์เพียงปีละครั้ง แต่ปีนี้เป็นปีที่น่าภาคภูมิใจและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนาง ด้วยว่าบุตรและธิดาเป็นแบบนี้ นางรู้สึกว่านางเป็นมารดาที่มีความสุขที่สุดในโลก ตอนนี้คนที่มีความสุขที่สุดก็คือ'เย่ว์ชวง' เด็กหญิงนอนหลับอย่างสบายในอ้อมกอดมารดาของเธอ เธอยังคงเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ
'เย่ว์หยาง'เกรงว่าเด็กหญิงจะตื่นกลัวเกินไปถ้าเธอเห็นเรื่องโหดร้ายรุนแรง ดังนั้นก่อนหน้านี้เอง เขาได้ซื้อ “ดอกหอมนิทรา”จากเมืองลู่ฉูและทำให้เธอหลับลึก วิธีนี้เขาได้ความรู้มาจากเจ้าเมือง'โล่วฮัว' นางเป็นผู้มีความรู้เรื่องพฤกษาชาติเป็นอย่างมากและได้คุยกับ'เย่ว์หยาง'เรื่องผลกระทบจากดอกหอมนิทราระหว่างที่เดินทางไปตำหนักบนเกาะลอยฟ้า
ตลอดรายทางมีคนที่คอยตามสอดแนมพวกเขา ขณะที่คนอื่นๆ คอยไล่อยู่ห่างๆ 'เย่ว์หยาง'ไม่กังวลการปรากฏตัวของคนเหล่านี้ ตรงกันข้าม 'ฮุยไท่หลาง' คอยแยกเขี้ยวคำรามใส่ เป็นเชิงเตือนคนอื่นว่า มันอาจฆ่าใครก็ได้ที่บังอาจเข้ามาใกล้เกินไป พวกเขาเดินทางไกลถึง 10 ไมล์ไปตามถนนที่คิดเคี้ยว ถนนได้รับการปรับระดับและมีจุดพักเป็นช่วงๆ แน่นอน
ถึงอย่างนั้น มันเป็นเรื่องเหลือทนสำหรับนักรบธรรมดาที่จะลากรถม้าขึ้นเขา 'เย่ว์ปิง'เหนื่อยจัดจนออกอาการหอบและมีเหงื่อออกพราว นางไม่ค่อยได้ฝึกวิทยายุทธ และยังมีความจริงอีกอย่างว่านางไม่ได้ทำสัญญากับอสูรสายเสริมพลังใดๆ เลย ดังนั้นเรี่ยวแรงนางจึงไม่ต่างจากนักรบธรรมดา
อย่างไรก็ตามนางมีใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นที่จะช่วยดันรถไปทั้งที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว แม้ว่าจะช่วยได้เพียงนิด นางก็หวังว่าจะสามารถช่วยพี่ชายนางได้บ้าง 'เย่ว์หยาง'แทบจะไม่เหนื่อยล้าจากการลากรถเลย หลังจากคร่ำเคร่งฝึกฝีมือมานับเดือนไม่ถ้วนและความแข็งแกร่งทางกายที่เพิ่มขึ้นจากการฝึกปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ ทำให้เขามีความแข็งแรงที่น่ากลัวพอๆ กับ'โคเงา'
'เย่ว์หยาง'พยายามใช้พลังรับรู้และญาณทิพย์ที่ทรงพลังของเขาตรวจสอบข้อมูลศัตรูที่อยู่ใกล้ อัจฉริยะจากผู้เยาว์ในรุ่นเดียวกันคุณชายใหญ่'เย่ว์เทียน'และคุณชายสี่'เย่ว์เยี่ยน'อาจปรากฏตัวเมื่อไหร่ก็ได้ แต่'เย่ว์หยาง'ไม่รู้จักพวกเขา
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าผู้คนทั้งหมดที่สอดแนมพวกเขาก่อนหน้านั้น หนึ่งในพวกนั้นจะต้องเผยโฉม 'เย่ว์หยาง'เห็นเงาร่างที่ขี่อยู่บนราชสีห์เพลิง ดูคล้ายหยานโพ่จุนเล็กน้อย แต่ไม่น่าประทับใจและไม่สง่างามเท่า 'เย่ว์หยาง'เดาว่าคนผู้นั้นอาจเป็น'เย่ว์เยี่ยน' แต่เขาจำได้ว่า'เย่ว์ปิง'เคยเอ่ยว่า'เย่ว์เทียน'ก็มีราชสีห์เพลิงตัวหนึ่ง เขาจึงไม่แน่ใจเล็กน้อย
ตอนนั้นเมื่อตระกูลเย่ว์ทุ่มค่าใช้จ่ายซื้อไข่ราชสีห์เพลิงมา 2 ฟอง สหายผู้น่าสงสารไม่ประสบความสำเร็จในการทำสัญญากับไข่นั้น 'เย่ว์เยี่ยน'ผู้อ่อนกว่าเขาไม่กี่วันกลับทำสัญญาได้แทน ดังนั้นสหายผู้น่าสงสารจึงเริ่มมีชีวิตที่ยากลำบากตั้งแต่นั้น ยังมีร่างเงาที่ดูมีความแข็งแกร่งมากกว่าอีกหลายคน อาจเป็นผู้อาวุโสในตระกูลก็เป็นได้
ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ ความจริง ถ้า'เย่ว์หยาง'ไม่ได้มุ่งโจมตีจุดอ่อนร้ายแรงของผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ เป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะเขาได้โดยไม่ใช้ปราณกระบี่ไร้ลักษณ์หรืออัญเชิญสัตว์อสูรของเขา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม 'เย่ว์หยาง'ทำเป็นเมินการสอดแนมของพวกเขา อย่างช้าๆ เขาเดินลากรถม้าโดยสาร ไปตามเชิงเขาและเลียบไปตามทางกว้างบนภูเขาตลอดทางจนถึงทางเข้าปราสาทตระกูลเย่ว์ ปราสาทตระกูลเย่ว์สูงเด่นสง่างามใหญ่กว่าและสูงกว่าเมืองเถี่ยฉวนที่ตั้งอยู่ในชั้นสามของหอทงเทียน
ซึ่งมนุษย์ใช้เป็นที่มั่นคอยยันกองทัพปีศาจไว้ ความสูง 30 เมตรมีภูเขาเป็นกำแพง กำแพงเมืองก่อด้วยหินดำสูง 15 เมตร เพียบพร้อมไปด้วยหอยิงธนู หอประตู, สถานีประจำการของทหารลาดตระเวน ฯลฯ เป็นป้อมปราการที่ทำให้ปกป้องได้ง่ายและยากที่ใครๆ จะพิชิตลงได้ ขณะที่'เย่ว์หยาง'ไม่ได้นำกองกำลังมา อาจมีการต่อสู้และเผชิญหน้ากันทั้งสองฝ่ายได้ เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ที่จะโยกคลอนปราสาทตระกูลเย่ว์
ที่หน้าปราสาทตระกูลเย่ว์ มีเงาร่าง 10 คนยืนรอการมาถึงของเย่ว์หยางอย่างสงบ สะพานชักถูกยกขึ้น ประตูปราสาทปิดแน่น แสดงถึงความตั้งใจของพวกเขาอย่างชัดเจน ดูเหมือนว่าพวกเขาตั้งใจป้องกันไม่ให้'เย่ว์หยาง'พาหญิงงามเข้าไปในปราสาทตระกูลเย่ว์ 'เย่ว์หยาง'คาดการณ์เรื่องอย่างนี้ได้มานานแล้วและรู้สึกว่า คงหลีกเลี่ยงไม่พ้นการต่อสู้ใหญ่ที่จะตามมาแน่นอน ศัตรูได้วางแผนนี้ไว้แล้วและเพียงแต่ต้องรอให้เขามีท่าทีบุ่มบ่ามขาดสติ
ตอนนี้พวกเขาทำตามเป้าหมายนี้ได้สำเร็จแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะอภัยให้เขาได้ง่ายๆ 'เย่ว์หยาง'รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่าอยู่แล้ว ที่เขาจะได้มีโอกาสอาละวาดเต็มที่
“ซานเอ๋อ, ท่านซานบอกว่า เขาไม่สามารถควบคุมเจ้าให้อยู่ในกฎได้ แต่ก็ยังไม่สามารถทนแบกรับใช้กฎตระกูลกับเจ้าขับสายเลือดครอบครัวที่สามและที่สี่ออกจากตระกูล เขาตัดสินใจรอให้ท่านปู่ของเจ้ากลับมาเสียก่อน จากนั้นท่านจะเป็นผู้ตัดสินเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เจ้าจงรออยู่ตรงนี้และค่อยถกเหตุผลกันเมื่อถึงเวลา”
บุรุษชราผมขาวโพลนถือไม้เท้าเขียวโผล่ออกมาจากกลุ่มคนและกล่าวอย่างใจเย็น เขามีท่าทางเงียบสงบและดูเป็นมิตรกับคนรอบๆเขา แต่ความตั้งใจจริงของเขาไม่มีใครรู้ได้
“อย่างงั้นหรือ? ถ้าเป็นอย่างนั้น อาจเป็นไปได้ว่า พวกท่านทุกคนเหล่าผู้สูงอายุมารวมตัวกันที่นี้เพื่อต้อนรับสวะอย่างคุณชายสามกลับบ้านหรอกหรือ?”
เมื่อ'เย่ว์หยาง'ได้ยินสิ่งที่ชายชราพูด เขาถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะลั่น
“เราอาจพักเรื่องการสอบสวนสาเหตุตายของผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ไว้ชั่วระยะก่อน แต่เราจะไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายคนอื่นๆ ต่อไป”
บุรุษชุดดำอีกคนหนึ่งวัยราวห้าสิบก้าวออกมากล่าวเตือน'เย่ว์หยาง'เสียงเข้มด้วยมาดประหนึ่งตัวละครที่กร้าวแข็งไม่เป็นมิตรที่ออกมาจากโรงงิ้ว
“อย่าเพิ่งโกรธ เราทุกคนมาจากครอบครัวเดียวกันและเราทุกคนก็เป็นพี่น้องกันด้วย เรื่องทั้งหมดนี้อาจเข้าใจผิดกันก็ได้ จะมีการตัดสินต่อเมื่อท่านประมุขตระกูลกลับมา”
ตอนนี้บุรุษชุดเขียวก้าวออกมาเล่นบทบุรุษที่แสนดี
“เนื่องจากไม่มีใครต้อนรับข้า คุณชายสามผู้สวะนี้กลับบ้าน ข้าก็แค่หาทางมาเอง”
'เย่ว์หยาง'ชูดาบจันทร์เสี้ยวในมือของเขาขึ้น เขางอนิ้วแล้วดีดไปที่ใบดาบ ปราณก่อกำเนิดถูกปล่อยลงไปที่ตัวดาบทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนลึกลับทันที วงดาบที่สั่นปล่อยเสียงหวีดหวิวที่อัดแน่นไปด้วยรังสีอำมหิต ท่าทีของ'เย่ว์หยาง'ปรากฏชัดเจนแล้วว่า เขาตั้งใจจะฝ่าเข้าปราสาทต่อสู้ให้ถึงที่สุด
ทุกคนระมัดระวังตัวเองอย่างเงียบๆ กลัวว่าพวกเขาอาจเป็นรายถัดไปที่จบชีวิตเหมือนผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ ทุกคนรู้จักฝีมือของผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ดี พวกเขาเข้าใจว่าสวะอย่างคุณชายสามผู้นี้ สามารถฆ่าเขาได้รวดเดียว เขาไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้ที่ไม่กล้าเชิดหน้าหรือยืนหยัดสู้เพื่อตัวเองอีกต่อไป หลายคนสงสัยอย่างมากว่า เป็นไปได้ว่าก่อนที่เย่ว์ชิวตายในการรบของเขา เขาได้ถ่ายทอดทักษะและวิชาสุดยอดของเขาให้แก่บุตรตนเองหรือเปล่า?
ตอนนี้ ดูเหมือนว่าคุณชายสามผู้หาประโยชน์มิได้ ได้แอบฝึกฝนวิชาของเขาจนเข้าใจและสำเร็จวิชาได้ในที่สุด เพราะเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับมาบ้านเพื่อทวงคืนความยุติธรรมและกวาดล้างชื่อเสียงที่ว่าเขาเป็นสวะออกเสีย ฝูงชนบางกลุ่มเห็นว่า'เย่ว์หยาง'ถือดาบจันทร์เสี้ยวแทนที่จะเป็นทวน นั่นเป็นเพราะ'เย่ว์ชิว'เป็นคนในตระกูลเพียงคนเดียวที่ฝึกจนเป็นนักสู้ระดับ 7 (เหนือมนุษย์)
ในตอนนั้น เขาประสบความสำเร็จถึงขนาดบัญญัติเพลงดาบได้เอง เขามีชื่อเสียงไปทั้งโลกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ดาบ และไม่ใช่แค่เพียงวิชาทวนดั้งเดิมของตระกูลเท่านั้น วันนี้ แม้ตอนแรก'เย่ว์หยาง'จะใช้วิชาพลองมาต่อสู้ก็ตาม แต่เขาก็ใช้ดาบจันทร์เสี้ยวสังหารผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ในตอนท้าย นี่แสดงว่า'เย่ว์หยาง'ฝึก 8 ดาบกระหายเลือดที่'เย่ว์ชิว'บัญญัติด้วยตัวเองสำเร็จแล้ว
“เสี่ยวซาน, เจ้ากล้าก้าวร้าวต่อหน้า 4 ผู้อาวุโสและญาติผู้ใหญ่เหล่านี้ทั้งหมดหรือ?”
บุรุษชุดดำคำรามด้วยความโกรธ
“ข้าอาจรับทราบว่าทุกท่านในที่นี้เป็นผู้อาวุโสของข้า แต่ดาบจันทร์เสี้ยวในมือของข้าไม่เป็นเช่นนั้น, ข้ายังจะขอยืนยันคำเดิม ข้าต้องการกลับบ้าน และใครก็ตามที่ขวางทางข้า จะต้องตาย”
'เย่ว์หยาง'ตอบเขาอย่างเยือกเย็น
เนื่องจากพวกเขากำลังจะสู้ อย่างนั้นเขาก็จะทำให้เรื่องใหญ่และสนุกครึกโครมไปเลย ศัตรูของเขามีไหวพริบและขี้โกงแน่นอน แต่นี่ไม่มีผลอะไรต่อเขาจริงๆ ความจริงการได้เผชิญหน้าของคนมีอำนาจที่เด็ดขาด มีอุบาย มีแผนการก็พวกขยะทั้งนั้น เขาจะไม่ยอมให้พวกนั้นได้จูงจมูกของเขา ตอนนี้ พวกเขาจะต้องสู้กับเขาโดยไม่คำนึงว่าพวกเขาต้องการหรือไม่ จะต้องฆ่าคนเพิ่มคนหรือสองคนก็คงไม่มีอะไรต่างกัน
เนื่องจากเขาได้ฆ่าผู้อาวุโสห้องลงทัณฑ์ไปแล้ว เขาได้กลับมาพร้อมกับความตั้งใจจะสู้กับตระกูลของเขา ดังนั้นทำไมจะต้องสนใจด้วยเล่ากับเรื่องแสดงความเคารพต่อคนพวกนี้ 'เย่ว์หยาง'ค่อยๆ ชูดาบจันทร์เสี้ยว และเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที ลมหายใจของเขาจางลงและค่อยๆ หายไป อีกฝ่ายหนึ่งถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตกใจที่ได้เห็นเหตุอย่างนี้ ท่านี้ดูเหมือนหนึ่งในท่าวิชาดาบทลายโลกของ'เย่ว์ชิว' “ผ่าปฐพี” บนกำแพงปราสาท ปรากฏคน 2 คนที่มุมด้านหนึ่ง คอยสังเกตสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
“ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอีกต่อไป ผู้อาวุโสท่านใดต้องการจัดการข้า ก็ต้องคุยกับดาบจันทร์เสี้ยวในมือของข้าก่อน”
'เย่ว์หยาง'บินขึ้นไปเหมือนนกและโลดแล่นอยู่ในท้องฟ้า เขากางแขนอยู่ในอากาศขณะที่ร่อนออกห่างไปมากกว่า 10 เมตร ดาบจันทร์เสี้ยวในมือของเขาเปลี่ยนรูปไปเป็นกระแสไฟ มันดูคมชัดมากเหมือนกับว่ามีอยู่ในใจของเขาเอง ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ 'เย่ว์หยาง'ก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้าบุรุษชุดดำ
ในชั่วพริบตา แสงยะเยียบแห่งความตายก็กล้ำกลายมาถึงระหว่างคิ้วของบุรุษชุดดำ เขาถึงกับขนพองสยองเกล้าราวกับตกไปในหลุมน้ำแข็ง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่เข้าไปใกล้ความตายขนาดนั้น ขณะที่บุรุษชุดดำเกือบจะถูกฆ่า มีแสงสีทองเปล่งออกมา โล่แสงสีส้มปรากฏออกมาจากด้านหลังของเขาเบี่ยงวิถีดาบไปได้อย่างหวุดหวิด เป็นผู้อาวุโสที่ถือไม้เท้านั่นเอง เขาเรียกคัมภีร์ชั้นเงินออกมาและยกโล่แสงช่วยบุรุษชุดดำไว้ได้ทันเวลา
แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าคุณชายสามผู้ไร้ประโยชน์ผู้นี้ อาจจะเริ่มจู่โจมพวกเขา แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเร็วมากขนาดนั้น พอเห็นว่าทำร้ายไม่สำเร็จ 'เย่ว์หยาง'เหินลงพื้นอย่างแผ่วเบาเหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำ เขาเข้าจู่โจมใส่โล่แสงสีส้มและด้วยความเร็วกว่าเดิม จากนั้นกระโดดขึ้นไปในอากาศบิดตัวฟันบุรุษชุดเขียวและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างด้วยดาบของเขา การฟันครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนถึง 10 เท่า เปรียบเทียบการฟันก่อนหน้านั้น เป็นแค่การอุ่นเครื่อง ขณะที่การฟันครั้งนี้เป็นของจริงมีความรุนแรง
“มันคือดาบผ่าปฐพี หนีไปซะ”
ผู้เฒ่าที่ถือไม้เท้าไม่สามารถช่วยเขาได้ทันเวลา จึงตะโกนบอกคนชุดเขียวอย่างลนลาน คนชุดเขียวขวัญกระเจิงไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ร่างกายของเขาหลบพ้นจากการโจมตีที่น่ากลัว เขาสั่งอสูรของเขา ตะกวดหุ้มเกราะโดดเข้ามาเอาตัวของมันป้องกันการฟันของ'เย่ว์หยาง'
ขณะเดียวกันเขาได้กระโดดถอยออกมาอย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสอีก 2 คนยกโล่ของพวกเขาพร้อมกันเพื่อป้องการกัน'เย่ว์หยาง'ไม่ให้โจมตีบุรุษชุดเขียวได้เต็มที่ พวกเขาหวังว่าโล่ของพวกเขาจะสามารถป้องกันดาบของ'เย่ว์หยาง'ได้ ซึ่งความคมของมันดูเหมือนว่าจะสามารถตัดหยกได้ ดาบเปล่งประกายวาบ พื้นยังคงสมบูรณ์และสัตว์อสูรไม่ได้รับอันตราย แต่บุรุษชุดเขียวผู้หนีไปอยู่เบื้องหลังโล่ทั้งสองมีสีหน้าตกตะลึง เมื่อทุกคนเห็นว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก เป็นเรื่องดีที่เขาทำแบบนั้น
มิฉะนั้น การฟันนั้นจะเอาชีวิตเขาได้ ทันใดนั้นเมื่อทุกคนก็เพ่งมองออกไป ตะกวดหุ้มเกราะที่ถูกเจ้านายสั่งให้กระโดดมาขวางล้มลงฟาดกับพื้นเสียงสนั่น แม้ว่าจะมีแผ่นเกราะที่เหมือนโลหะ แต่ตลอดทั้งตัวของมันขาดครึ่งพบจุดจบอย่างน่าอนาถ หัวใจของทุกคนรู้สึกเย็นยะเยียบ เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่ได้เจอจากวิชาดาบทลายโลกของ'เย่ว์ชิว' แรงฟันครั้งนี้สามารถฆ่าตะกวดเกราะระดับ 3 ได้ในทันที
ขณะที่มีคนหันไปมองบุรุษชุดเขียว ทุกคนยินดีกับเขา เขายังโชคดีที่หนีภัยพิบัติครั้งนี้ได้ทัน มิฉะนั้นแล้วเขาคงถูกฆ่าทันทีเหมือนกับตะกวดหุ้มเกราะ อย่างไรก็ตาม ความกลัวทำให้สีหน้าของบุรุษชุดเขียวเปลี่ยน มือของเขากระตุกเล็กน้อยขณะที่เขาอยากคว้าคอของเขาเอง ทุกคนตกอยู่ในความหวาดกลัวขณะที่เส้นสีแดงที่คอบุรุษชุดเขียวเริ่มขยาย บุรุษชุดเขียวกุมลำคอของเขาไว้แน่น เหมือนกับว่าเขาต้องการจะห้ามไม่ให้เลือดไหล ผู้อาวุโสที่ถือไม้เท้ามีศิลาบำบัดคุณภาพดีที่สุดอยู่แล้ว
แต่ก่อนที่เขาจะได้ใช้มัน ท้องของบุรุษชุดเขียวก็ระเบิดดังโพละ ทุกคนมองเห็นอวัยวะภายในและเลือดเนื้อของเขาระเบิดกระจายอยู่ในอากาศ เหมือนกับสัตว์อสูรของเขา ทั้งร่างของเขาถูกตัดเป็น 2 ส่วนด้วยคมดาบของ'เย่ว์หยาง' อกและท้องของเขาถูกผ่าจนเปิดออก บุรุษชุดเขียวผู้ที่ทุกคนคิดว่าหนี'เย่ว์หยาง'ได้พ้น ก็ยังถูกสังหารในดาบเดียว
ผู้อาวุโสที่ถือไม้เท้าและคนอื่นมองดู'เย่ว์หยาง'อย่างหวาดกลัว พวกเขาพยายามกำหนดให้ได้ว่าทักษะต่อสู้ของบิดาเจ้าเด็กนี่มีอยู่แค่ไหน เจ้าเด็กนี่มีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวขนาดไหนกันแน่ ทันใดนั้น 'เย่ว์หยาง'หลับตาและเริ่มทำสมาธิ กระแสพลังที่ปล่อยออกมาจากตัวเขาและรัศมีที่งดงามดูเหมือนจะปรากฏอยู่ต่อหน้าของเขา มันเป็นเหมือนกับว่าเขาได้มีฝีมือก้าวหน้าเข้าสู่ขอบเขตใหม่ทันที ทุกคนรู้สึกถึงอันตรายเต็มอยู่ในหัวใจเขา เป็นไปได้ว่าเจ้าเด็กนี่ก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับหลังจากปล่อยพลังดาบไปแล้วงั้นหรือ? เป็นไปได้ว่า เจ้าเด็กนี่มีประสบการณ์พัฒนาฝีมือก้าวหน้าเข้าขอบเขตใหม่ในระหว่างต่อสู้งั้นหรือ? สวรรค์ช่วย! ถ้าเขาถ้าเขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เขามิกลายเป็นเย่ว์ชิวคนที่สองแห่งตระกูลเย่ว์หรือ?
“ทุกคน บุกใส่เขาพร้อมๆ กัน”
ผู้อาวุโสที่ถือไม้เท้าไม่สนใจสถานะอีกต่อไป
เขาทำหน้าที่เป็นผู้นำ กระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาควงไม้เท้าโจมตีศีรษะ'เย่ว์หยาง'อย่างรุนแรง พวกที่โจมตียังไม่เข้าใจรอยยิ้มเย้ยหยันที่ปรากฏบนริมฝีปากของ'เย่ว์หยาง' 'เย่ว์หยาง'ยิ้มเหมือนนักล่าที่เห็นเหยื่อตกเข้ามาในกับดักของเขา
“นี่ยังไม่ดีพอ! ฆ่าเขาเร็วๆ”
บุรุษชุดดำร่ายรำทวนยาวแทงเข้าใส่หัวใจของเย่ว์หยางเหมือนมังกรพิษ
พอเห็นการจู่โจมที่กร้าวแกร่งและอำมหิตนี้ หนึ่งในสองที่มองดูอยู่บนหอประตูรบดูเหมือนต้องการร่อนลงมาช่วยเหลือ'เย่ว์หยาง' อย่างไรก็ตาม เขาถูกอีกคนอยู่ด้วยกันยับยั้งไว้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ คนที่อยากจะช่วย'เย่ว์หยาง'จึงหยุดยั้งไว้ และพยักหน้าอย่างเงียบๆ คนทั้งสองยืนอยู่บนหอประตู และสังเกตดูอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้น เกิดแสงสว่างเรืองรองเป็นสายเหมือนแม่น้ำดวงดาวฉายออกมาด้วยควมสว่างไม่มีที่เปรียบ มันกลายเป็นสายที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีรอยหมุนวนดูคล้ายการขยายตัวของทางช้างเผือก ตอนแรก'เย่ว์หยาง'อยู่ในสภาวะเข้าสมาธิ แต่เขายืดตัวขึ้นทันที นัยน์ตาของเขาเปิดจ้องมอง ดูคล้ายตาปีศาจ ตาของเขาเป็นสีแดงเลือด ปราณที่ปล่อยออกมารอบตัวเขารุนแรงเหมือนน้ำป่า จนระเบิดออกมาเสียงดัง
มันดังสนั่นจนโลกสะเทือน ควันจากแรงระเบิดล้อมรอบ 2 คนที่มีความสามารถอ่อนที่สุดทันที ตาสีแดงเลือดของ'เย่ว์หยาง'เบิกกว้างอย่างเกรี้ยวกราด ลักษณะส่วนตัวของเขาเหมือนบ้าไปแล้ว ดูเหมือนเทพปีศาจ เขาลุกขึ้นยืนตรงอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ เตรียมเผชิญหน้ากับศัตรูที่ผนึกกำลังโจมตีเขา เขาถือดาบจันทร์เสี้ยวมือซ้าย และถือดาบฮุยจินมือขวา ดาบทั้งสองเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ นี่ นี่คือดาบแรกที่มีพลังทำลายที่แท้จริง ผ่าปฐพี
ที่มา:https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=103