ตอนที่ 91 ความลับนางพญา
'เย่ว์หยาง'หันไปรอบๆ และมองเห็นเจ้าเมือง'โล่วฮัว'ยังนอนอยู่บนพื้้น แม่นางผู้นี้นอนหมดสติมานานแล้ว เขาน่าจะถือโอกาสหยอกนางสักเล็กน้อย ไม่สิเขาควรจะรีบดำเนินการปฐมพยาบาลและ..ผายปอดให้นางเลยจะดีไหม?
ขณะที่เขาเดินไปที่ๆนางนอนอยู่และเตรียมจะแตะต้องนาง จิ้งจอก 6 หางก็ฟื้นขึ้นทันทีและโดดมาอยู่ข้างๆ เจ้าเมือง'โล่วฮัว' มันไม่ได้มองเห็น'เย่ว์หยาง'เป็นศัตรู แต่มันใช้ดวงตาดำขลับมีแววเฉลียวฉลาดมองดูเขาอย่างมีไมตรี ตาของมันดูคล้ายของคน มีชีวิตชีวาและดูฉลาด
'เย่ว์หยาง'สงสัยว่ามันคงมีความสามารถเชื่อมต่อทางจิตกับเจ้าเมือง'โล่วฮัว' ถ้าเขาพยายามทำอะไรที่เอาเปรียบนาง บางทีวิญญาณจิ้งจอกอาจรายงานเจ้านายของมันภายหลังก็ได้ ในขณะที่ภาพพจน์ความเป็นคนดีของเขาอาจได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ในอีกด้านหนึ่ง นางพญากระหายเลือดเพิ่งจะร้องไห้เสร็จก็ยังแอบสังเกตความเคลื่อนไหวของ'เย่ว์หยาง' เหมือนกับว่านางกำลังทดสอบนิสัยของเจ้านายในอนาคตของนาง เขาปล่อยทำเป็นไม่สนใจจิ้งจอก 6 หางก็ได้ เพราะมันพูดคุยไม่ได้อยู่แล้ว แต่นางพญากระหายเลือดพูดได้
ถ้าสักวันนางเกิดไม่สบายใจขึ้นมาแล้วแอบบอกความลับกับเจ้าเมือง'โล่วฮัว' อย่างนั้นนิสัยหื่นของเขามีหวังโดนแฉแน่ๆ 'เย่ว์หยาง'ถึงกับตาเหลือก ใจตกวูบทันที เขาคิดว่าสงบไว้ดีกว่า ขณะที่เอื้อมไปจับชีพจรที่ข้อมือของเจ้าเมือง'โล่วฮัว' ท่าทางเหมือนกับหมอแก่ๆ ของแพทย์จีนแผนโบราณกำลังแมะชีพจร เขาส่ายศีรษะช้าๆ เกือบจะพูดว่า
“ชีพจรเต้นเร็วเหมือนไข่มุกกระทบจาน เป็นชีพจรแห่งความสุขสม”
คำพูดเหล่านี้น่าตกใจ แน่นอนว่า
เมื่อ'เย่ว์หยาง'ยื่นมือไปจับชีพจรของเจ้าเมือง'โล่วฮัว' จิ้งจอก 6 มันนอนลงแนบพื้นทันทีและกระดิกหางของมัน เหมือนกับว่ามันมั่นใจกับท่าทีของ'เย่ว์หยาง' ไม่มีความระแวงในสายตาของมันแม้แต่น้อย สำหรับนางพญากระหายเลือดที่อยู่อีกด้านเห็นว่า'เย่ว์หยาง'ไม่ได้ถือโอกาสเอาเปรียบเจ้าเมือง'โล่วฮัว' ดูเหมือนท่าทีของนางจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดาไม่ออกว่าประหลาดใจหรือสุขใจ
ทันใดนั้นแสงสีทองเปล่งออกมาจากคัมภีร์เงินของ'เย่ว์หยาง' ประกายสีทองฉายออกมาวาบหนึ่งแล้วหายไป ทักษะธรรมชาติลวง ไม่มีการตอบสนองหรือเพิ่มระดับก่อนจะเพิ่มระดับ นี่ทำให้'เย่ว์หยาง'สับสนจริงๆ เขาไม่เข้าใจสถานการณ์เลย เขาไม่ได้พยายามจะใช้ทักษะลวงเพื่อยกระดับไม่ใช่เหรอ? เป็นไปได้ว่ามันจะยกระดับได้
ถ้าหากเขาโกหกคนอื่นหรือเปล่า? ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง เขาจะต้องโกหกกี่ครั้งเพื่อให้ทักษะเขาเพิ่มระดับ? และเขาต้องโกหกใคร? สัตว์อสูร? หรือนักรบ? 'เย่ว์หยาง'ไม่สามารถเข้าใจการใช้ทักษะลวงนี้โดยสิ้นเชิง
นอกจากนี้เขายังไม่ทราบความหมายอย่างอื่นเกี่ยวกับทักษะลวงนี้ นอกเหนือไปจากการปรับเปลี่ยนภาพสัตว์อัญเชิญในคัมภีร์ของเขา ส่วนทักษะญาณทิพย์ยังคงมีมาตรฐานที่วัดได้ มีบางสิ่งบางอย่างทีเขามองเห็นได้ด้วยทักษะญาณทิพย์นี้ แต่สวรรค์คงรู้ว่าทักษะลวงนี้ใช้ทำอะไรกันแน่
ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่สามารถบอกได้จากปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ไม่ว่าทักษะของเขาจะมีผลกระทบเช่นไรก็ตาม แม้แต่ครอบครัวของเขา, แม่สี่, 'เย่ว์ปิง'และแม่หนูน้อยก็ยังไม่สงสัยเขาเลย หลังจาก'เย่ว์หยาง'แสดงบทคนดีเสร็จแล้ว
ก่อนที่'เย่ว์หยาง'จะชักมือกลับ เขาถือโอกาสลูบมือเจ้าเมือง'โล่วฮัว'หน้าตาเฉย เขารู้สึกว่าผิวของนางเรียบลื่นเหมือนหยกเนื้อดี ผัสสะความรู้สึกของนางช่างยอดเยี่ยม ถ้าเพียงแต่เขาได้ลูบตรงอื่นไม่กี่ที่ เขาเชื่อว่าหัวใจของเขาคงละลายหาย จากความรู้สึกสัมผัสที่เขารับรู้ได้จากมือนาง
ทันใดนั้น นางพญากระหายได้ร้องเตือน การณ์กลับกลายเป็นว่าศาลาที่กำลังถูกไฟเผาผลาญด้านหนึ่งได้มีการทรุดตัว ทันใดนั้น'เย่ว์หยาง'นึกขึ้นได้ว่าเป้าหมายที่เจ้าเมือง'โล่วฮัว'ต้องการก็คือบุปผางามปีศาจ นางต้องไม่กลับไปโดยมือเปล่า มิฉะนั้น เรื่องการคร่ำครวญและจู้จี้ของสตรีจะเป็นเรื่องน่ากลัวมากสำหรับเขา
“บุปผางามปีศาจ ข้าต้องการบุปผางามปีศาจ เจ้าเข้าใจไหม?”
'เย่ว์หยาง'ตะโกนไปที่นางพญากระหายเลือด
พอเห็นว่าไฟไหม้ศาลาลามมาถึงขอบเหวและกำลังพังทลายแล้ว 'เย่ว์หยาง'ก็ไม่สนใจอีกต่อไป เขาเอาเจ้าเมือง'โล่วฮัว'แบกขึ้นหลัง ขณะเดียวกันก็รู้สึกยินดีถึงสัมผัสที่นุ่มนิ่มและกลิ่นกายที่หอมของนาง นางพญากระหายเลือดตอบเป็นภาษาปีศาจยาวเหยียด ซึ่ง'เย่ว์หยาง'ไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว พอเหนื่อยที่จะพูดต่อ 'เย่ว์หยาง'ดึงต้นหญ้าที่ริมผาขึ้นมากำมือหนึ่ง และบอกว่า
“ข้าต้องการดอกไม้, และต้นไม้ เจ้าเข้าใจไหม? บุปผางามปีศาจที่สวยที่สุด เจ้าเอามาให้ข้าได้ไหม?”
*โครม...*
ในท้องฟ้า, ศาลาที่ถูกไฟไหมพังลงกับพื้นอย่างช้าๆ จนทำให้หินนับจำนวนไม่ถ้วนร่วงลงไปบนพื้นด้วย 'เย่ว์หยาง'ไม่สนเรื่องดอกไม้ปีศาจอีกต่อไป ชีวิตน้อยๆ ของเขาสำคัญยิ่งกว่า เขาแบกเจ้าเมือง'โล่วฮัว'ขึ้นหลังแล้วรีบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว
จิ้งจอก 6 หางไล่ตามหลังเขามาติดๆ ไม่ใช่แล้ว ตอนนี้มันคืนร่างเป็นจิ้งจอกหิมะ 3 หาง ส่วนโคเงามือข้างหนึ่งถือดาบยักษ์ของนางปีศาจดาบสังหาร อีกข้างหนึ่งถือดาบจันทร์เสี้ยวของ'เย่ว์หยาง'มาด้วย นางไม่รู้ว่าจะเอาอาวุธทั้ง 3 มาพร้อมกันได้อย่างไร 'เย่ว์หยาง'อึ้งจนแทบพูดไม่ออก โชคดีที่นางพญากระหายเลือดรู้ว่ามีดทองฆ่ามังกรและดาบวิเศษฮุยจินเป็นสมบัติมีค่า นางโผบินไปที่ของเหล่านั้นเก็บให้'เย่ว์หยาง' แต่นางไม่ได้รีบบินกลับมาหา'เย่ว์หยาง'
นางกางปีกบินสูงขึ้นไป และตรงไปที่ศาลาที่ถูกเพลิงไหม้ 'เย่ว์หยาง'ไม่กังวลว่านางจะพยายามหนีหรือไม่ เพราะประการแรก นางคืออสูรผู้พิทักษ์ของเขา และประการที่สอง นางไม่มีถิ่นฐานให้กลับอีกแล้ว แม้ว่าในท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยเศษหินและไม้ที่ไฟไหม้ร่วงหล่นลงมา 'เย่ว์หยาง'ก็รู้สึกว่าเป็นบรรยากาศโรแมนติคในท่ามกลางอันตราย ความรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนิ่มที่ด้านหลังของเขามันยอดเยี่ยมเกินบรรยาย
เมื่อ'เย่ว์หยาง'หลบหลีกหินที่ตกลงมา เขาพยายามกระโดดให้มากขึ้นเพื่อให้รู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนิ่มที่ด้านหลังของเขาได้มากขึ้น ถึงเวลานี้ มือของเจ้าเด็กหมาป่าเจ้าเล่ห์จับสะโพกกลมกลึงของเจ้าเมือง'โล่วฮัว'ไว้แล้ว โดยไม่รู้ตัว
ความรู้สึกที่แล่นผ่านมือของเขาช่างสดชื่นยิ่งนัก ไม่ถือสาหากจะต้องแบกนางวิ่งเป็นร้อยกิโลเมตร และถ้าเขาต้องดำเนินการปฐมพยาบาล อาจต้องมีการปั๊มหัวใจในระหว่างพักกลางทาง โชคไม่ดี เจ้าเมือง'โล่วฮัว'ส่งเสียงครางเบาๆ แสดงว่านางเริ่มจะฟื้นแล้ว
'เย่ว์หยาง'ที่แอบลูบสะโพกนางเมื่อสักครู่ ในทันทีเขาเปลี่ยนสภาพเป็นพระเอกผู้ห้าวหาญผู้เพิ่งจะช่วยชีวิตสาวงามออกมาได้หวุดหวิด เขาแสดงสีหน้าเหมือนคนดีและสัตย์ซื่อ ขณะเดียวกัน เขาทำเป็นไม่รู้ว่าเจ้าเมือง'โล่วฮัว'ฟื้นแล้ว ยังคงวิ่งหนีเต็มกำลัง และไม่พยายามถ่วงเวลาอีกต่อไป
“เกิดอะไรขึ้น?”
เจ้าเมือง'โล่วฮัว'ตกใจ
นางถูกคนแบกขึ้นหลังมาได้อย่างไร? นางถึงกับผงะเมื่อได้กลิ่นกายผู้ชายกระทบจมูกนาง ทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ว่า เป็นโจรน้อยลึกลับนี่เอง นางจึงค่อยสงบใจลงได้ โชคดีที่เป็นเขา เมื่อนางหันศีรษะไปมอง นางเห็นศาลากำลังพังทลาย จากนั้นจึงคิดว่า 'หม่าเหลียง'ไล่ตามพวกเขามาข้างหลังและเจ้าเด็กนี่แบกนางหลบหนีออกมา นางทำอะไรไม่ได้ ได้แต่รู้สึกปั่นป่วนในใจ
“ศาลาถูกเผาพังทลายไปแล้ว ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ข้าได้แต่แบกท่านหลบหนี ข้าไม่สามารถเอาบุปผางามปีศาจออกมาได้”
'เย่ว์หยาง'รู้ทันทีว่าเขาควรปล่อยเจ้าเมือง'โล่วฮัว'ลงในตอนนี้ แต่เขาไม่สามารถฝืนใจปล่อยร่างที่นุ่มนิ่มและกลิ่นกายหอมของนางลงได้ เขาทำเป็นลืมปล่อยนางและคงแบกนางวิ่งต่อไป
“ช่างมันเถอะ, ข้าได้บอกเจ้าไว้ก่อนแล้ว เจ้าต้องให้ความสำคัญชีวิตของเจ้าก่อน เจ้าทำถูกแล้ว”
เจ้าเมือง'โล่วฮัว'เห็นว่าขณะที่โจรน้อยนี่ยังพยายามหลบหนี เขาก็ยังคิดเผื่อนางเป็นอย่างดี นางรู้สึกอบอุ่นในใจอีกครั้ง พอถึงเชิงเขา นางพยายามลงเดิน พอมองย้อนไปที่ยอดเขาลอยฟ้า นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไม'หม่าเหลียง'และขุนพลปีศาจถึงไม่ได้ไล่ตามพวกเขามา? อาจเป็นเป็นได้ว่าพวกเขาขโมยสมบัติในศาลาและจากไปกระมัง?
นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่า ขุนพลปีศาจและมังกรบินทุกตัวถูก'เย่ว์หยาง'ฆ่าหมดแล้ว? ในตอนแรกนางสงสัยเรื่องความสามารถของ'เย่ว์หยาง'อยู่บ้าง แต่หลังจากเห็น'โคเงา'ที่ตามหลังพวกเขามา นั่นคืออสูรทองแดงระดับ 5 ทั้งยังเป็นอสูรพิทักษ์ของเขา ความสงสัยในใจนางก็หายไป ใช้'โคเงา'ที่มีทักษะวิทยายุทธด้วย เขาคงฆ่าขุนพลปีศาจทั้ง 5 ได้ ความลับเฉพาะที่เขาไม่เคยพูด รวมทั้งมาตรฐานระดับนักสู้ของเขา
นางให้เกียรติความเป็นส่วนตัวของเขา จึงทำเป็นลืมเรื่องเหล่านี้ไป ในท้องฟ้า ปรากฏแสงสีทองวาบหนึ่ง นางพญากระหายเลือดรวบปีกนางขณะร่อนลงเบาๆ ต่อหน้า'เย่ว์หยาง' นางไม่ได้ถือบุปผางามปีศาจในมือ แต่นางมีถุงผ้าไหมเล็กๆ เมื่อเจ้าเมือง'โล่วฮัว'เห็นเครื่องหมายการทำสัญญาที่หัวใจและพลังวิญญาณของนางพญากระหายเลือดที่เชื่อมกับ'เย่ว์หยาง'ลางๆ นางถึงกับอ้าปากค้างอยู่นาน ขณะถามว่า
“โจรน้อย เจ้าทำสัญญากับนางพญากระหายเลือดแล้วเหรอ? เป็นไปได้หรือนี่?”
เมื่อ'เย่ว์หยาง'กำลังทำสัญญากับนางพญากระหายเลือด เจ้าเมือง'โล่วฮัว'ยังเพ่งทำสมาธิเพื่อรวบรวมพลังของนาง นางไม่ได้ทันสังเกตแสงสีทองที่เกิดจากการทำสัญญาและการผสานร่างระหว่างนางพญากระหายเลือดกับเงาปีศาจ
ก่อนหน้านั้นนางเพียงแต่'หยอกเย่ว์หยาง'เท่านั้น นางไม่เคยคิดว่าเขาจะทำสัญญากับจ้าวอสูรทองได้สำเร็จ ที่สำคัญที่สุด โอกาสทำสัญญาได้สำเร็จนั้นต่ำมากๆ ใครจะรู้ว่าโจรน้อยโชคดี ถึงกับทำสัญญากับนางพญากระหายเลือดได้?
“นางเป็นฝ่ายเสนอทำสัญญากับข้า ตอนนั้นนางใกล้จะตายเต็มที ถ้านางไม่ทำสัญญากับข้า นางอาจตายก็ได้”
'เย่ว์หยาง'อธิบายเพิ่มอีกนิด
“ฟังดูอย่างนั้น ค่อยเป็นไปได้บ้าง ยินดีด้วยโจรน้อย ความสำเร็จแบบนี้ เจ้าได้ลบเอาชื่อเสียงด้านลบของบุรุษผู้ไร้ประโยชน์ออกไปได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว เมื่อเจ้าพาจ้าวอสูรทองกลับบ้าน ปู่ของเจ้ารักคนที่สร้างชื่อเสียงมาก เคราของเขาอาจจะตั้งชันจนทำให้เขาเป็นลมอย่างมีความสุขได้”
ดูเหมือนเจ้าเมือง'โล่วฮัว'จะคุ้นเคยกับตระกูลของ'เย่ว์หยาง'อย่างดี
แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อีกอย่างหนึ่ง นักท่องเที่ยวต่างมิตินี้คงไม่รู้ว่าตระกูลเย่ว์เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ในโลกนี้? ท่านประมุขตระกูลเย่ว์ผู้นี้เป็นผู้นำตระกูล จากนั้น เจ้าเมือง'โล่วฮัว'หยิบถุงไหมที่นางพญากระหายเลือดนำมา พอเปิดดูเท่านั้นนางถึงกับโพล่งออกมาอย่างยินดี
“อ๊า!!”
ขณะที่'เย่ว์หยาง'กำลังทนเสียงกรี๊ดกร๊าดที่ดังกว่าเสียงกรีดร้องของนางพญา เขายังไม่ทันได้แสดงท่าทีอะไรตอบ ก่อนที่เจ้าเมือง'โล่วฮัว'จะเหนี่ยวแขนเขาดึงลงมาแล้วหอมแก้มของเขา นางร้องลั่นว่า
“นี่คือเมล็ดบุปผางามปีศาจ มีหลายเมล็ดเสียด้วย ห้องของข้า, หน้าต่างของข้า ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีสวนของข้าด้วย ตอนนี้ข้าปลูกบุปผางามปีศาจได้เป็นสวนเลย โจรน้อย เจ้าเป็นดาวแห่งโชคแท้ๆ”
แค่จ้องมองท่าทางของเจ้าเมือง'โล่วฮัว' 'เย่ว์หยาง'ตะลึงจนพูดไม่ออก ไม่ใช่แค่เมล็ดดอกไม้...
ขณะที่มีความสุขมาก แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องดีที่นางมีความสุข ที่สำคัญที่สุด ดูเหมือนว่านางจะลืมทุกอย่างจนเผลอหอมแก้มเขา ดูเหมือนว่านางจะเผยความในใจแล้ว นางคงไม่ทำอะไรอย่างนี้เป็นแน่ เนื่องจากนางชอบดอกไม้มาก บางทีครั้งต่อไปเขาคงหาดอกไม้แพงๆ มาให้นางดีกว่า นางจะได้สุขใจมากจนผลักเขาให้ล้มลงนอนแทน
ขณะที่'เย่ว์หยาง'เริ่มฟุ้งซ่าน เขาเริ่มจะลำบากใจในบางเรื่องแล้ว ขณะที่เจ้าเมือง'โล่วฮัว'ยังคงเป็นเหมือนเด็กสาวที่มีความหวังขึ้นๆ ลงๆ นางพญากระหายเลือดได้ติดมีดทองฆ่ามังกรเข้ากับโซ่ไหมบนเอวนางเงียบๆ
ดาบวิเศษฮุยจินที่อยู่ในมือนางก็ยังไม่คืนให้'เย่ว์หยาง'เหมือนกับ'โคเงา'กับดาบอื่นๆ เมื่อ'เย่ว์หยาง'เห็นว่านางเริ่มมีนิสัยที่ไม่ดีแล้ว เขาสั่งให้นางเอาออกมา สมบัติจะถูกครอบครองโดยเจ้านาย เมื่อเจ้านายมอบให้บริวาร มันถึงจะเป็นของบริวาร นางพญากระหายเลือดลังเลนิดหน่อย ก่อนจะคืนดาบฮุยจินให้'เย่ว์หยาง' อย่างไรก็ตาม นางไม่ให้มีดทองฆ่ามังกร ต่อให้นางตายก็ตาม ปากนางยังพูดไม่หยุด ขณะที่นางปฏิเสธจะให้มีดทองฆ่ามังกรแก่เขา
“อ๋า? เจ้าพูดได้เหรอ? เป็นอสูรที่มีสติปัญญาสูง ไม่เลวเลย”
เจ้าเมือง'โล่วฮัว'รู้ภาษาปีศาจเล็กน้อย
แต่หลังจากคุยกับพญากระหายเลือดชั่วขณะ นางหันมาหา'เย่ว์หยาง'อย่างปวดหัว
“ข้าคิดว่าดีที่สุด หาล่ามสักคนเถอะ แดนปีศาจกว้างใหญ่มาก ใหญ่กว่าทวีปมังกรทะยานถึง 10 เท่า ภาษาแบบนี้ ข้าเข้าใจอยู่เพียงไม่กี่คำ และนั่นก็ได้แค่เดา เอ่อ.. เราจะไปหาคนแปลภาษาปีศาจดีๆ ได้จากไหนกัน? อา.. มีอยู่คนหนึ่ง เขามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะแปลได้ เพียงแต่ว่าท่าทางของเขาน่าตบตีอยู่บ้าง”
“ใครกันเหรอ?”
'เย่ว์หยาง'ไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีคนที่น่าถูกตบตีมากกว่า'เจ้าอ้วนไห่'
“ก็ซานเหอที่เจ้าทุบตีที่สมาคมนักรบชั้น 3 ไงเล่า เจ้าผู้นั้นเมื่อก่อนนี้เป็นกวีพเนจร เขาเดินทางไปทั่วทวีปมังกรทะยานจึงเชี่ยวชาญหลายภาษา แม้แต่ภาษาปีศาจ เขาก็ยังเชี่ยวชาญภาษาปีศาจต่างๆ ถึง 100 ภาษา ถ้าเขาแปลไม่ได้ อย่างนั้นเราไม่ต้องหาคนอื่นมาแปลอีกแล้ว”
เจ้าเมือง'โล่วฮัว'หัวเราะคิกคัก
“แต่เจ้าผู้นั้นคงค่อนข้างหงุดหงิด เนื่องจากเจ้าทุบตีเขาเสียหนัก คงยากจะปิดบังความรู้สึกต่อเจ้า ถ้าเจ้าต้องการขอให้เขาช่วยแปล ข้าเกรงว่าจะยากสักหน่อย.. เราจำเป็นต้องหาอุบายดีๆ”
“อย่าห่วง, ข้ามีวิธีรับมือคนขี้หงุดหงิดแล้ว”
'เย่ว์หยาง'รู้สึกว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรับมือคนหงุดหงิด พวกเขาแค่ต้องการโดนทุบตีไม่ใช่หรือ?
“อย่างนั้นเรายังจะรออะไร ไปถามถึงสิ่งที่นางพญากระหายเลือดต้องการบอก อาจเป็นเรื่องสำคัญก็ได้”
พอเห็น'เย่ว์หยาง'ยังคงมองไปที่ศาลาที่พังทลายบนภูเขา และยังไม่เต็มใจจะไป เจ้าเมือง'โล่วฮัว'ปลอบเขาว่า
“อย่าห่วงไปเลย ทางเมืองเถี่ยฉวนจะส่งคนมาจัดการที่นี่ให้เรียบร้อย ถ้ามีอะไรดีๆ พวกเขาจะเก็บเอาไว้ให้เรา นี่คือผลประโยชน์ของเรา พวกเขาไม่กล้าโลภแน่ อย่างดีที่สุดพวกเขาอาจขอรางวัลเราเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ ว่าแต่นางพญากระหายเลือดนี้ต้องการจะบอกอะไรกับเจ้า?”
ในจิตใจของสตรีอย่างเจ้าเมือง'โล่วฮัว'ก็ชอบเรื่องซุบซิบเหมือนกัน นางจึงเปิดม้วนเทเลพอร์ตกลับไปที่ชั้นสาม จากนั้นเทเลพอร์ตไปหาตัวบุรุษชุดขาวอีกครั้ง เย่ว์หยางยังคงสงสัยอยู่นิดหน่อย แท้จริงแล้วนางพญากระหายเลือดมีความลับใดอยู่กันแน่?
ที่มา:https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=91