ตอนที่ 81 ทักษะความรู้ทั้ง 6
มือกระบี่หญิงชาววังกับ'เย่ว์หยาง'จ้องกันและกัน ทั้งคู่ไม่ได้ทำอะไรแต่อุทานออกมา
“อ๋า?”
พร้อมๆ กัน และแสดงอาการตกใจออกมาทางสีหน้าชัดเจน
'เย่ว์หยาง'ก็ตกใจเพราะเขาไม่เคยเห็นคนในแผ่นดินมังกรทะยานที่เน้นมุ่งฝึกวิทยายุทธเหมือนอย่างเขา แต่คนแรกที่เขาพบกลับเป็นมือกระบี่หญิงวังหลวงผมสั้นนางนี้ ในทวีปมังกรทะยาน วิทยายุทธเป็นทักษะระดับต่ำที่สุด
นอกจากทหารรับจ้างผู้ใช้แรงงานหนักแล้ว ไม่มีใครอื่นที่ใส่ใจฝึกวิทยายุทธของพวกเขา บรรดาผู้คนในตระกูลของเขา นอกจากเจ้าเด็กผู้น่าสงสารที่ไม่สามารถทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้แล้ว 'เย่ว์หยาง'ไม่เคยเห็นใครอื่นจากในตระกูลที่ยินดีฝึกวิทยายุทธ
สตรีนางนี้มุ่งมั่นฝึกวิทยายุทธและละทิ้งทักษะอัญเชิญได้อย่างไร? มือกระบี่หญิงชาววังผู้นี้มีนัยน์ตาคมกล้า ปลายคิ้วชันขึ้น นัยน์ตาใสกระจ่างของนางเต็มไปด้วยความรู้สึก ดูเหมือนว่าสายตานาง พยายามมองให้ทะลุถึงวิญญาณคนอื่นเมื่อนางมองนัยน์ตาของพวกเขา
นางมีส่วนสูงที่แปลก คือเป็นผู้หญิงที่สูงกว่าบุรุษทั้งหมด 1 ช่วงศีรษะ นางสูงกว่าบุรุษอย่าง'เย่ว์หยาง' อย่างไรก็ตาม แม้ว่านางจะสวมเกราะคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แต่ก็ไม่สามารถซ่อนความงามของนางได้
ถ้านางถอดเกราะหนักออกจากตัวได้ จะสมบูรณ์เพียงไหน น่าเสียดาย รูปร่างที่น่ารักถูกซ่อนไว้ภายใน ยามนางใช้คู่ขาเรียวงามย่างกราย คงดูสง่างามหาที่เปรียบมิได้ เหมือนกับนางรำ และเหมือนกับนกกระเรียนมงกุฎที่บินอยู่ท่ามกลางหิมะ
'เย่ว์หยาง'อดสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าเมือง'โล่วฮัว'สามารถเอาชนะมือกระบี่หญิงชาววังนี้ได้ ถ้านางเรียกสัตว์อสูรมาช่วยต่อสู้ในระยะไกล อย่างไรก็ตาม จะเป็นเรื่องแตกต่างแน่ถ้าสู้กันในระยะใกล้ มือกระบี่หญิงชาววังนี้ทำให้'เย่ว์หยาง'รู้สึกว่า แม้แต่'เฟิงชิชา'ผู้มีชื่อในเรื่องสู้ประชิด ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้นางในระยะประชิด
'เย่ว์หยาง'พอจะอนุมานได้จากความหยิ่งของนาง วิธีที่นางเดิน ลมหายใจ ฯลฯ มือกระบี่หญิงชาววังผู้นี้เป็นผู้มีวิทยายุทธแน่นอน 'เย่ว์หยาง'สงสัยว่ากระบี่ยักษ์สีดำที่อยู่หลังของนางสร้างมาจากวัสดุอะไร? ด้วยทักษะญาณทิพย์ระดับ 2
'เย่ว์หยาง'ยังมองไม่เห็นระดับและคุณภาพของมัน ดังนั้นอาจพอมองเห็นได้ว่ากระบี่นี้อย่างน้อยก็เป็นสมบัติระดับทองขึ้นไป 'เย่ว์หยาง'สามารถใช้ทักษะญาณทิพย์เพื่อดูลักษณะพิเศษของร่างกายสตรีนางนี้ได้ลางๆ มีอสูรที่ไม่รู้ชนิดซ่อนอยู่ในตัวของนาง พวกมันเหมาะสำหรับใช้เพื่อฝึกวิทยายุทธ ....
ที่สำคัญที่สุด วิทยายุทธของสตรีนางนี้สูงส่งมาก น่าจะสูงกว่าวิชาทวนตระกูลเย่ว์ แต่'เย่ว์หยาง'ยังไม่เคยเห็นวิทยายุทธใดที่ดีกว่าวิชาทวนตระกูลเย่ว์ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสรุปได้ว่านางฝึกวิทยายุทธแบบไหมมากันแน่ สายตาที่มือกระบี่หญิงชาววังใช้ดู'เย่ว์หยาง' เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
นางรู้ นางรู้ว่า'เย่ว์หยาง'แปลกเป็นพิเศษ แม้ว่าจะมีคนอยู่หลายประเภทในโลกนี้ และไม่มีอะไรที่แปลกประหลาดเกินไป แต่นางก็ยังไม่เคยเห็นคนที่มุ่งฝึกวิทยายุทธให้ชำนาญเหมือนอย่างที่นางทำ สิ่งที่ทำให้มือกระบี่หญิงตกใจก็คือ แรงกดดันที่นางรู้สึกได้จากบุรุษผู้อยู่ต่อหน้านางผู้นี้ เป็นครั้งแรกที่นางเคยรู้สึกได้จากคนรุ่นราวคราวเดียวกับนาง ถ้านางไม่มีทักษะ “สัมผัสรู้ทั้ง 6” แล้ว
นางอาจถูกบุรุษผู้นี้หลอกด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเหมือนโจรก็ได้ หลังจากสังเกตอย่างใกล้ชิด ก็ยิ่งทำให้นางตกใจ เขาแบกไฮดราที่ยังไม่ได้ทำสัญญามาด้วยและกำลังจะแลกเปลี่ยนกับ'เฟิงรุ่ย' นางยิ่งประหลาดใจยิ่งขึ้น เขาไปจับไฮดราตัวนี้มาจากไหน?
“ใช่แล้ว ผลแห่งภูมิปัญญาเป็นของพี่เชี่ยนเชี่ยน”
เสียงของ'เฟิงลุ่ย'ฟังดูเหมือนสะใภ้ที่ถูกรังแก ดูเหมือนเขาจะร้องไห้รอมร่ออยู่แล้ว
“ข้าไม่ได้พยายามชิงของที่เป็นของเจ้า เจ้าเป็นหนี้ผลของภูมิปัญญาข้าเมื่อครั้งล่าสุด ข้าต้องการมันเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรือ?”
มือกระบี่หญิงชาววังเลิกคิ้วของนาง ตาคมกริบของนางจ้องไปที่'เฟิงรุ่ย' 'เฟิงรุ่ย'ถูกคุกคามจนหัวหดเหมือนลูกแมวน้อยขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ไม่กล้าแม้แต่จะสารภาพอีกครั้ง
“…”
'เย่ว์หยาง'รู้สึกว่าแม่นางคนนี้ รับมือไม่ใช่ง่ายๆ ถ้านางสามารถเปลี่ยนให้สมาชิกตระกูลเฟิงกลายเป็นเหมือนลูกแมว นางย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“เจ้าชื่ออะไร?”
มือกระบี่หญิงชาววังไม่สนใจ'เฟิงลุ่ย' แต่หันมาถาม'เย่ว์หยาง'แทน
“ไตตัน”
เมื่อ'เย่ว์หยาง'โกหก หน้าไม่มีแดง ตาไม่กระพริบ เหมือนกับว่าเขาใช้ชื่อ'ไตตัน'มาตั้งแต่เกิด
“เอ่..นั่นก็ไม่ถูกแล้ว บอกข้ามาตามตรง.. แต่ช่างเถอะ เรื่องนั้นไม่สำคัญ เจ้าต้องการผลแห่งภูมิปัญญาไปทำอะไร?”
มือกระบี่หญิงชาววังมีทักษะที่แข็งแกร่ง นั่นคือ สัมผัสรู้ทั้ง 6 ดังนั้นการรับรู้ของนางจึงแหลมคมกว่าคนธรรมดาถึง 10 เท่า นางดูออกว่า'เย่ว์หยาง'ไม่ได้พูดความจริง
“แน่นอนว่า ข้าจะเอาผลภูมิแห่งปัญญาไปกิน จะเพิ่มความเฉลียวฉลาดให้กับข้าไง จริงไหม?”
'เย่ว์หยาง'ลอบตกใจ
เป็นไปได้ว่าสตรีนางนี้มีทักษะที่ทรงประสิทธิภาพ? ไม่น่าแปลกใจที่เฟิงรุ่ยและคนอื่นๆ จะหัวหดเป็นหนูยามที่อยู่ต่อหน้านาง ไม่กล้าแม้แต่จะพูด กลับกลายเป็นว่านางมีทักษะมองเห็นการโกหก ตอนนี้เขาได้พบคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการโกหกคนอื่นๆ ถ้าเขาถูกนางเห็นได้ว่าโกหก อย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถโกหกได้อีกต่อไป ในทวีปมังกรทะยานมีคนที่ไม่ธรรมดาเป็นจำนวนมากจริงๆ มีทักษะธรรมชาติอยู่ทุกชนิดจริงๆ แม้แต่ทักษะในการจำแนกความแตกต่างในการโกหกอย่างนี้
“เหลวไหล! ข้าคิดว่าเจ้าน่ะ โง่จริงๆ ขนาดโกหก ก็ยังโกหกไม่เป็น”
มือกระบี่หญิงชาววังใช้ตาโตของนางจ้องดูด้วยแววตาที่ห้าวหาญอีกครั้ง สายตาที่เฉียบคมเหมือนกระบี่ของนางมอง'เย่ว์หยาง'อย่างตั้งใจ
“ผลแห่งภูมิปัญญาเป็นอาหารของสัตว์อสูรเท่านั้น ถ้านักรบทั่วไปกินเข้าไป มันจะกลายเป็นคนโง่พอๆ กับสัตว์อสูร เจ้าไม่รู้แม้แต่เรื่องอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเจ้าจงใจพูดเหลวไหล?”
“ผลแห่งภูมิปัญญาใช้เป็นอาหารของสัตว์อสูรได้อย่างเดียวเหรอ?”
'เย่ว์หยาง'ตกใจ เขาเคยได้ยินเรื่องราวผลแห่งภูมิปัญญามาก่อน แต่ไม่รู้ว่ามนุษย์กินมันไม่ได้
“อย่าบอกว่านะว่า เจ้าเอาแต่ฝึกวิทยายุทธมากเกินไปจนสมองของเจ้าเปลี่ยนไปเป็นกล้ามเนื้อแล้ว?”
พอเห็นว่าเจ้านี่พูดความจริง ในใจมือกระบี่หญิงชาววังชักจะกังวลถึงความรู้พื้นฐานของเขาบ้าง เขาไม่รู้แม้แต่ความรู้พื้นฐาน
"นี่เขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนกันแน่?””
ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี่เอาแต่หมกมุ่นกับการฝึกมากเกินไป ถึงขนาดไม่สนใจเรียนรู้เรื่องสัตว์อสูรเลย นั่นอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เขาไม่รู้ความรู้พื้นฐานแบบนี้ที่แม้แต่เด็กแปดขวบก็ยังรู้ แต่มันเป็นเรื่องแปลกที่เขาฝึกวรยุทธ์ได้ถึงระดับนั้น
ในคนรุ่นเดียวกับนางมีเพียงไม่กี่คนที่ทำได้ขนาดนั้นในแผ่นดินมังกรทะยาน เจ้าเด็กนี่ รู้สึกจะอันตรายกว่า'เฟิงชิชา' เป็นไปได้ที่คนอย่างเขาคงไม่ได้มาจากตระกูลธรรมดา แต่ถ้าเขาเกิดอยู่ในบรรดา 4 ตระกูลใหญ่ แล้วเหตุไฉนเขาจึงไม่สามารถเข้าใจเรื่องที่แม้แต่คนโง่ก็เข้าใจได้เล่า?
มือกระบี่หญิงชาววังรู้สึกว่านางเป็นฝ่ายอับจน เจ้าเด็กที่อยู่ต่อหน้านางแค่เพียงสับสนเกินไป เขาดูต่างจากคนธรรมดาแน่นอน ฝีมือของเขาเข้าขั้นน่ากลัว แต่ความรู้พื้นฐานของเขาเหมือนกับคนโง่
“ข้าให้ผลแห่งภูมิปัญญาเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องช่วยทำเรื่องที่ข้าพอใจอย่างหนึ่ง”
มือกระบี่หญิงชาววังหันไปมอง'เฟิงรุ่ย'
“เจ้ายังรออะไรอีก? ทำไมไม่เอากิ่งแห่งพฤกษาชีวิตออกมาเล่า? ข้าเคยเห็นคนโง่ๆ มาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนโง่อย่างเจ้าเลย ผลแห่งภูมิปัญญาและกิ่งแห่งพฤกษาชีวิตจะต้องประมูลคู่กัน หรือว่าสมองของเจ้าเละเป็นข้าวต้มไปแล้ว? แล้วทำไมเจ้าถึงยังไม่เอาของปลอมนั่นออกอีก จะใช้เครานั่นปกปิดความน่าเกลียดบนใบหน้าเจ้าหรือไง? เจ้าไม่รู้หรือว่านั่นไม่ได้ทำให้เจ้าดูน่ากลัวเลย แต่ดูแล้วเหมือนคนโง่? โชคดีที่เจ้าเป็นน้องเขยข้า ถ้าเจ้าเป็นคู่หมั้นข้า ข้าคงได้ใช้กระบี่ของข้าสับเจ้าไปแล้ว”
“อย่าเพิ่งโกรธสิ.. ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ให้ท่านไม่ใช่หรือ?”
'เฟิงรุ่ย'ดึงเคราปลอมออกอย่างเขินๆ
จากนั้นก็รีบเอากล่องลายปักออกมาจากชุดของเขา มือกระบี่หญิงชาววังรีบคว้ามันออกมาอย่างเร็วราวสายฟ้าและจ้องมองเขาอีกครั้ง
“เจ้าควรส่องกระจกมองตัวเองอีกครั้งนะ เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ทำตัวไม่เหมาะสมเลย เจ้ายังเอาแต่เล่นกับเด็กๆ พวกนี้ ตั้งหน่วยทหารรับจ้างพายุสลาตัน ข้าคิดว่าเจ้ากินมากเกินกว่าคุณค่าที่เจ้ามีแล้วนะ”
ดรุณีที่ซ่อนตัวอยู่หลังประตูยืดหัวนางออกมาอย่างน่ารักและกระซิบว่า
“พี่เชี่ยนเชี่ยน! เราจัดตั้งกลุ่มพายุสลาตันเพื่อพิสูจน์คุณค่าของเรา...”
อย่างไรก็ตาม เมื่อมือกระบี่หญิงชาววังหันไปถลึงตาใส่นาง นางรีบหลบไปซ่อนตัวหลังประตูเหมือนลูกแมว 'เย่ว์หยาง'เป็นฝ่ายตะลึงบ้าง น่ากลัวจัง นางเป็นมือกระบี่ที่ไม่มีใครต้านทานได้ 'เย่ว์หยาง'ไม่มีเวลาพอจะโต้เถียง เมื่อมือกระบี่หญิงชาววังใช้สายตาที่คมกริบจ้องมาที่เขา
“ทำไมเจ้ายังยืนบื้ออยู่ตรงนั้นอีกเล่า? วางลูกไฮดราลงแล้วตามข้ามา”
'เย่ว์หยาง'แอบร้องไห้ในใจ ทำไมแม่นางผู้นี้ต้องควบคุมบังคับเขาตอนนี้ด้วย?
“เราจะไปไหนกัน?”
'เย่ว์หยาง'รู้อยู่เต็มอกว่า สถานที่ที่แม่นางผู้นี้จะพาเขาไป คงไม่ใช่ที่ดีแน่ แต่ผลแห่งภูมิปัญญาและกิ่งแห่งพฤกษาชีวิตยังอยู่ในมือนาง
“เจ้าน่ะ แปลกคนจริงๆ ข้ามีคำถามจะถามเจ้า อย่าห่วง หลังจากข้าถามเจ้าเสร็จแล้ว ข้าจะให้ผลแห่งภูมิปัญญาและกิ่งแห่งพฤกษาชีวิตแก่เจ้า”
มือกระบี่หญิงชาววังทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้นแล้วเดินออกไปนอกประตูทันที กระบี่ยักษที่ห้อยอยู่ด้านหลังนางกระทบกับเกราะแคร้งๆ ยามที่นางเดินออกไป
“ท่านให้กิ่งแห่งพฤกษาชีวิตกับข้าก่อนได้ไหม? ถ้าข้ามีของนั้นไว้ในมือ ก็คงอุ่นใจได้บ้าง และข้าคงตอบคำถามท่านได้ราบรื่นยิ่งขึ้น”
'เย่ว์หยาง'พยายามรีบไปให้ทัน
เขาคิดว่า ทันทีที่เขาได้กิ่งแห่งพฤกษาชีวิต เขาคงเผ่นได้ทันที และจากมือกระบี่หญิงนางนี้ไปให้ไกลแสนไกล เขาค่อยคิดถึงเรื่องผลแห่งภูมิปัญญาครั้งต่อไป มิฉะนั้น การถูกนางสอบปากคำ นางอาจคาดเดาถึงโลกที่เขาอยู่มาก่อนหน้านั้นได้ คงจะเป็นเรื่องดีหากว่านางเป็นคนธรรมดา แต่อนิจจา นางเป็นคุณพี่มือกระบี่ที่สามารถเห็นความจริงจากการโกหกได้ แล้วมันจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับนางที่จะเปิดเผยความลับของเขา แต่ก่อนที่'เย่ว์หยาง'จะพูดจบ
ในทันใดนั้นเขาเห็นมือกระบี่หญิงชาววังผู้อยู่ข้างหน้าเขาห่างไม่เกิน 3 นิ้ว ใช้ตาคู่ดำสนิทจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ 'เย่ว์หยาง'ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่สะดุ้งในการเตือนภัย นางถือได้ว่าเป็นดาวข่มของเขามีความสามารถในการแยกแยะความจริงจากเรื่องโกหก ถ้าเขาโกหกไม่ไม่หรือถูกมองเห็นทุกครั้งที่โกหก มันคงทำให้ชีวิตของเขาน่าอนาถจริงๆ มือกระบี่หญิงชาววังแค่ตอบด้วยอารมณ์โกรธ
“โกหก, เจ้า เจ้าไม่เคยพูดความจริงสักคำตั้งแต่เราเจอกัน เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องนั้นหรือ? ถ้าเจ้าตั้งใจหนี ข้าก็จะไม่ให้กิ่งแห่งพฤกษาชีวิตและผลแห่งภูมิปัญญาแก่เจ้า ข้าจะให้ก็ต่อเมื่อเจ้าตอบคำถามข้าอย่างตรงไปตรงมา”
“ได้, ข้ารับรองว่าข้าซื่อตรงมากกว่าคนขายโลงศพในเมืองเฮย์ฉือที่ชอบขายโลงลดราคา 80% และยังมีการซื้อหนึ่งแถมหนึ่งด้วย”
'เย่ว์หยาง'รู้สึกเหงื่อกำลังผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
“เจ้าโกหกอีกแล้ว ไม่เคยมีคนแบบนั้นในเฮย์ฉือเลย”
มือกระบี่หญิงชาววังหัวเราะทันที เสียงหัวเราะของนางสดใสเหมือนฤดูใบไม้ผลิและเหมือนอาทิตย์ยามเช้า
“ท่านรู้ได้ยังไง?”
'เย่ว์หยาง'ถูกก่อกวนจนสับสน คงจะเป็นไปได้ว่าเขาไม่สามารถโกหกต่อหน้าแม่นางผู้นี้จริงๆ หรือ?
“เพราะไม่มีคนขายโลงศพในเฮย์ฉือ พวกเขาไม่ได้มีธรรมเนียมฝังคนตาย แต่ใช้วิธีเผาแทน”
มือกระบี่หญิงชาววังพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แต่เมื่อใดก็ตามที่ข้าเห็นเจ้าพูดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอยู่จริง คำพูดของเจ้าค่อนข้างจะล้อเล่น ปกติแล้วเจ้าใช้คำเหล่านี้หยอกล้อสาวๆ หรือ? แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องเหล่านี้ไม่สำคัญอะไรเลย ข้าแค่ต้องการรู้ว่าเจ้ามาจากตระกูลไหน?”
“ข้าไม่ได้มาจากตระกูลไหนทั้งนั้น เข้าเป็นแค่ชาวนา ตระกูลข้า 18 ชั่วคนเป็นชาวนาจนถึงแก่น เราเป็นไพร่ไม่ใช้เจ้าหน้าที่ทางการ”
จากนั้น'เย่ว์หยาง'ยกตัวอย่างต่อ
“เจ้าไม่เห็นเหรอ ว่าข้าดูซูบผอมขนาดไหน? เจ้าสามารถเห็นได้จากนี้ว่าข้าหาไม่พอกินเป็นอยู่ยากลำบาก อดมื้อกินมือ ดูมือข้าสิหยาบไหมล่ะ นี่แสดงว่าข้าทำงานอย่างหนัก ต้องไถพรวนดินทุกวัน เพื่อจะเลี้ยงตัวเองให้รอด ข้าต้องทำงานต่อเนื่องตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตก ต่อให้ร่างกายเปียกฝนก็ตาม ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้านะ ข้าจะว่าบทกวีพิสูจน์ความสามารถของตัวเองก็ได้ ฟังให้ดีนะ”พรวนต้นกล้าเที่ยงวันแสงแดดกล้า หยาดเหงื่อรดต้นกล้าลงสู่ดิน ใครหรือจะรู้ซึ้งค่าของข้าวที่ในชาม แต่ละเม็ดล้วนได้จากความยากลำบาก“ บอกได้เลย ถ้าข้าไม่ใช่ชาวนาข้าจะเข้าใจถึงความยากลำบากของชาวนาได้อย่างไร?”
มือกระบี่หญิงชาววังฟังอยู่เงียบๆ โดยไม่ทำอะไร ได้แต่ขมวดคิ้ว
'เย่ว์หยาง'ทำแบบนี้เพราะมีเป้าหมาย เขาเอาเรื่องไร้สาระมาพูด แม้แต่เรื่องบทกวี เป้าหมายก็คือทำลายความสามารถของแม่นางผู้นี้ไม่ให้มองเห็นความจริง ถ้านางถูกบทกวีดึงดูด อย่างนั้นนางจะรวบรวมสมาธิไม่ได้ ตราบใดที่เขายังดึงความสนใจของนางได้
เขาเชื่อว่ายังสามารถพริ้วหลบนางได้ในภายหลัง เมื่อ'เย่ว์หยาง'แอบพอใจกับตัวเอง ทันใดนั้นมือกระบี่หญิงชาววังจึงพูดคำนี้
“นั่นคาดไม่ถึงเลยนะ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเด็กเหลือขอจากตระกูลใหญ่ ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้ายังรู้ว่ามีอาชีพที่เรียกว่าชาวนาในโลกนี้ด้วย บทกวีนี้ เจ้าไปขโมยความคิดมาจากใครเหรอ? เป็นกวีที่ดีเชียวนะ แต่เจ้าอ่านมันโดยไม่รู้สึกอะไรเลย เจ้าไม่เข้าใจถึงความเจ็บปวดของชาวนาเหล่านั้น บรรดาสมาชิกจากตระกูลใหญ่ๆ แทบไม่มีใครที่ข้าไม่รู้จัก แต่ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน? เจ้าคงไม่ได้มาจากตระกูลเล็กๆ เพราะพวกเขามีวิทยายุทธไม่แข็งแกร่ง และพวกเขาไม่มีทางที่จะมีฝีมือถึงระดับนั้น เจ้าชื่ออะไรกันแน่?”
“ไตตัน”
'เย่ว์หยาง'จะไม่ยอมบอกชื่อจริงกับนาง มันไม่ใช่เรื่องดีแน่นอนที่จะเกี่ยวข้องกับสตรีนางนี้ เขาควรจะอยู่ห่างๆ จากนาง ถ้าไม่ใช่เพราะนางก็มีวิทยายุทธ์สูงและยากที่จะชิงของจากนางได้สำเร็จ 'เย่ว์หยาง'มีความพยายามจะชิงกล่องลายปักที่บรรจุกิ่งแห่งพฤกษาชีวิตนานแล้วและรีบหายวับไปในเวลากลางคืน
เขาครุ่นคิดหาวิธีอยู่ในใจที่จะขโมยกล่องลายปัก แต่มือกระบี่หญิงชาววังดูเหมือนจะเดาความคิดของเขาออกและกอดกล่องนั้นไว้อ้อมแขนแน่นทันที 'เย่ว์หยาง'เตรียมหาที่ปลอดคนแห่งหนึ่งเพื่อจะฆ่านาง
ทันใดนั้น ดรุณีนางหนึ่งวิ่งออกมาจากสมาคมนักรบและกอดที่แขนของ'เย่ว์หยาง'อย่างสนิทสนม ตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย เสี่ยวซาน! เจ้ามาหอทงเทียนด้วยเหรอ?”
'เย่ว์หยาง'รู้สึกเหมือนหัวระเบิดไปชั่วขณะเมื่อเขาได้ยินแบบนั้น เขาไม่รู้มาตั้งแต่แรกว่า'ดรุณี'นางนี้คือใคร? จากน้ำเสียงและท่าทางของนาง ดูเหมือนว่านางจะสนิทกับเจ้าเด็กที่สงสารมาก เป็นไปได้ว่านางอาจคือคุณหนูจากตระกูลเสวี่ยผู้เปลี่ยนแปลงการหมั้นหมายของพวกเขา? หรือว่านางเป็นคนรักที่เจ้าเด็กที่น่าสงสารแอบปกปิดไว้? แต่เจ้าเด็กที่น่าสงสารไม่ได้เขียนบอกอะไรไว้เกี่ยวกับดรุณีนางนี้ไว้ในสมุดบันทึกเลย ดุรณีนางนี้เป็นใครกัน?
ที่มา:https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=81