ตอนที่ 79 เงือกวายุ
อสูรจ้าวอัคคีสร้างลูกบอลไฟไว้ในมือของมัน และยิงใส่'เย่ว์หยาง'อย่างโหดเหี้ยม แม้ว่ามันจะยังไม่ถึงตัวเขา แต่ก็ยังมีการโจมตีเป็นระลอกต่อเนื่อง ลูกไฟที่ถูกยิงออกมานั้นเหมือนกับเปลวไฟที่มังกรพ่นออกมา
อย่างไรก็ตาม 'เย่ว์หยาง'ไม่ได้ถอย เขาทำตรงกันข้าม โดยพุ่งเข้าไปแทงตรงแก่นหลอมละลายของจ้าวอัคคี ซึ่งซ่อนอยู่ในหน้าอกขนาดยักษ์ 'เย่ว์หยาง'ใช้ปราณขั้นก่อกำเนิดแยกหน้าอกที่แข็งราวกับหินออกจากนั้นใช้ดาบจันทร์เสี้ยวแทงลงไปในแผลที่ถูกเปิด เสียงซี่ๆ ที่น่าจะได้ยินยามที่ดาบแทงลึกผ่านผิวนุ่มลงไปลงไป พอสัมผัสกับอุณหภูมิสูงมันก็ละลาย
พอเห็นเป็นแบบนี้ 'เย่ว์หยาง'หัวใจตกวูบหน่อย ร่างของจ้าวอัคคีกระพริบหรี่ลงทันที ขณะที่มันสั่นไหว มือของมันที่ยังถือลูกไฟอยู่ ได้ปล่อยลูกไฟใส่'เย่ว์หยาง' พลังแรงเฉื่อยของมันก็ยังมากอยู่ดี 'เย่ว์หยาง'ปล่อยดาบจันทร์เสี้ยวในมือของเขาทันที ก่อนที่มันจะจมลงไปในตัวของจ้าวอัคคี
เขาหมุนตัวถอยออกมา อย่างไรก็ตาม จ้าวอัคคีไม่ได้ไล่ตามเขา มันค่อยๆ ดึงดาบจันทร์เสี้ยวออกมา ซึ่งตัวดาบเริ่มละลายเปลี่ยนเป็นสีแดงสว่างเป็นมวลของเหล็กหลอมเหลว ดาบจันทร์เสี้ยวที่แข็งมากตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงาโร่ และนุ่มเหมือนแป้ง อกของจ้าวอัคคีได้รับบาดเจ็บ พ่นคลื่นลาวาออกมาก่อนที่จะกลับคืนสู่ลักษณะปกติ มันอ้าปากที่เต็มไปด้วยลาวากว้างจากนั้นกลืนดาบจันทร์เสี้ยวลงไปเหมือนกับกินอาหารว่างโดยไม่มีใครคาด
'เย่ว์หยาง'ไม่เคยคิดว่าเขาจะใช้ดาบจันทร์เสี้ยวทำให้จ้าวอัคคีบาดเจ็บได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลกระทบอะไรจากการโจมตีนี้เลย ขณะที่เขาพิจารณาถึงความจริงนี้ เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่ลอบถอนใจ ปีศาจชั้นเงินระดับ 7 นี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ตลอดทั้งร่างมีแต่ไฟลุกโหมกระหน่ำ หินหลอมละลายเป็นเหมือนกับร่างกาย ลาวาที่ไหลออกมาเหมือนกับเลือด เปลวไฟที่รุนแรงก็เป็นเหมือนเกราะและไฟสีม่วงก็เป็นเหมือนหัวใจของมัน
เขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะเอาชนะมันได้? เขาสามารถยิงปราณกระบี่ไร้ลักษณ์ชั้นก่อนำเนิดได้อีกเพียงครั้งเดียว ถ้ามันไม่เกิดผลอะไร เขาจะทำอย่างไรต่อไป? ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีมังกรกระดูกกำลังบินอยู่ในท้องฟ้าจ้องลงมาอย่างตั้งใจ เหมือนนักล่ามองหาเหยื่อของมัน เตรียมพร้อมจะโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้
พอเห็นว่าจ้าวอัคคีเริ่มไล่ตามเขา 'เย่ว์หยาง'รีบถอยกลับเข้ามาอยู่ในโล่แสงทันที จ้าวอัคคีดูเหมือนจะมีความรู้สึก ขณะที่มันไม่ได้เดินหน้าเข้ามาอย่างโง่ๆ แล้วใช้พลังที่เปล่าประโยชน์โจมตีใส่โล่แสงที่ปกป้อง'เย่ว์หยาง'อยู่ แต่มันกลับปล่อยไฟไปทั่วทั้งพื้นที่สมรภูมิมรณะ ทำให้สนามรบเต็มไปด้วยเปลวไฟที่โหมไหม้ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังเปลวไฟของพวกมันนั่นเอง
'ขุนพลปีศาจ'ทั้ง 2 ถอยไกลไปอยู่ที่มุม ตอนนี้พวกมันไม่ต้องทำอะไร พวกมันแค่รอให้จ้าวอัคคีและมังกรกระดูกจัดการ'เย่ว์หยาง' 'เย่ว์หยาง'ตัดสินใจใช้กลยุทธ์ “รังแกอ่อนแอ หวาดหวั่นแข็งแกร่ง” เพราะจ้าวอัคคีแข็งแกร่งเกินไปและมังกรกระดูกตัวก็แข็งเกินไป
'เย่ว์หยาง'ตัดสินใจลงมือกับ'ขุนพลปีศาจ'ทั้งสองก่อน สถานการณ์เป็นเพียงสิ่งที่'ขุนพลปีศาจ'หวังจะให้เป็น ตราบใดที่พวกมันขัดขวางเจ้าเด็กแสบนี่ได้ เขาจะต้องตายเมื่อจ้าวอัคคีและมังกรกระดูกไล่ตามเขาทันแน่นอน
อันที่จริง เมื่อ 2 'ขุนพลปีศาจ'ถือว่าอยู่ในการป้องกันระดับสูง มังกรกระดูกพร้อมบินโฉบลงมาจากท้องฟ้าทันที ปากของมันอ้าจนเห็นฟันแหลมคม โจมตีใส่'เย่ว์หยาง'ทันที มีหนอนปีศาจกลุ่มหนึ่งอยู่ข้างหน้า และยังมีธนูบินสีดำจะพุ่งเข้าใส่เป้าหมายโดยอัตโนมัติทั้งด้านซ้ายและขวา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือจ้าวอัคคีจะไล่ทันจริงๆ
ในไม่ช้านี้ แผนโจมตีของ'เย่ว์หยาง'ล้มเหลว แผนที่เขาจินตนาการไว้ว่า 'ขุนพลปีศาจ'จะแยกกันไปทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เมื่อพวกมันถอยออกไป เหตุการณ์นั้นจึงไม่เกิดขึ้น แต่พวกมันเผชิญกับศัตรูโดยไม่ยอมอ่อนข้อ นี่ทำให้'เย่ว์หยาง'ซึ่งมีโอกาสชนะได้อย่างจำกัดไม่สามารถปล่อยการโจมตีที่หนักหน่วงที่สุดจนได้เปรียบสามารถฆ่าหนึ่งใน'ขุนพลปีศาจ'ได้
'เย่ว์หยาง'หยุดเท้าทั้งสองไม่ไล่ตามพวกมัน ขณะที่เขาโดดขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว เหมือนม้าขาวหลบไปตามพื้นที่รอยแยกแคบๆ หลบหลีกเลี่ยงการโจมตีนับไม่ถ้วน 'เย่ว์หยาง'หลบหลีกการโจมตีอีกฝ่ายได้อย่างยอดเยี่ยม
เขาหลบหลีกการโจมตีที่มุ่งเป้ามาที่เขาได้ทั้งหมด ก่อนที่จ้าวอัคคีจะปล่อยหมัดของตน 'เย่ว์หยาง'ตีลังกาในอากาศ 3 ตลบแล้วร่อนลงบนพื้นเหมือนใบไม้ ฝักมีดจันทร์เสี้ยวสกัดธนูดำที่พุ่งเข้ามาได้ทั้งหมด
มังกรกระดูกพยายามจะใช้หางยาวของมันฟาดเขา แต่'เย่ว์หยาง'โยกกายท่อนบนหลบได้สำเร็จ เขายังคงใช้ดาบจันทร์เสี้ยวอีกเล่มฟันมังกรกระดูกที่คอยสนับสนุนการโจมตี จากนั้นเขาก็หลบเข้าไปอยู่ในโล่แสง
ถ้าเป็นมนุษย์นักสู้คนอื่นๆ ที่ไม่มีฝีมือพอจะเข้าออกโล่แสงตามต้องการแล้ว ต่อให้มี 10 ชีวิตพวกเขาก็ตายอยู่ดี 'ขุนพลปีศาจ'ทั้งสองมองดูอย่างมึนงง เจ้าหนุ่มนักสู้ผู้นี้ลึกล้ำเกินหยั่งคาดกว่ามนุษย์คนอื่นที่พวกมันเคยพบมา
เขายังอายุน้อยชัดๆ แต่กลับกลายเป็นนักสู้ชั้นปราณก่อกำเนิดได้ นั่นไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังสามารถเข้าออกภายในโล่แสงของคัมภีร์อัญเชิญได้ตามใจปรารถนา พวกมันไม่เคยได้ยินความสามารถประเภทนี้มาก่อน ผู้ครอบครองคัมภีร์แต่ละคนจะสูญเสียโล่แสงทันทีที่พวกเขาออกมาจากมัน เขาเข้าออกโล่แสงได้อย่างอิสระได้ยังไง?
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะลึกลับแค่ไหน ไม่ว่าสถานการณ์จะหยั่งได้ยากเพียงใด ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปนึกถึงมัน หลังจากผ่านไป 10 นาที โล่แสงจะหายไปโดยอัตโนมัติ ในที่สุด เขาจะไม่มีที่หลบซ่อนแห่งที่สองอย่างแน่นอน
ภายใต้การร่วมโจมตีของมังกรกระดูกและอสูรเจ้าอัคคี เขาจะพินาศอย่างแน่นอน 'ขุนพลปีศาจ'ทั้งสอง ยังมองจุดอื่นอีก นั่นก็คือ นักสู้ปราณก่อกำเนิดผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับมนุษย์นักสู้ปราณก่อกำเนิดคนอื่น ความสามารถของเขาอ่อนไปนิด
ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่มีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเลย มนุษย์นักสู้ชั้นปราณก่อกำเนิดคนอื่นๆ และสัตว์อสูรของพวกเขาอย่างน้อยก็เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ ความสามารถของพวกเขาแข็งแกร่งในตัวอยู่แล้ว และสัตว์อสูรของพวกเขายังมีพลังที่น่ากลัวสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขาได้ แม้แต่นักสู้ชั้นปราณก่อกำเนิดอย่างแย่ที่สุด จะมีสัตว์อสูรชั้นเพชรหรือชั้นทองขาว
นอกจากนี้ เจ้าเด็กนี่ ยังนำต้นดอกหนามชั้นทองมาด้วยหรือ? พวกมันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าเด็กนี่มีอะไรผิดปกติ บางทีเขาคงไม่ใช่นักสู้ชั้นปราณก่อกำเนิดจริงๆ บางทีพวกมันคงดูผิดไป 'ขุนพลปีศาจ'มองหน้ากันและกันแล้วพยักหน้า
หลังจากพวกมันฆ่า'เย่ว์หยาง'แล้ว พวกมันจะค้นตัวเขาดู เผื่อพวกเขาจะได้พบสมบัติบางอย่าง 'ขุนพลปีศาจ'ทั้งสองที่เหลือก็คือ 'ขุนพลปีศาจ'ที่เหมือนหนอนและ'ขุนพลปีศาจ'ที่มีปีก ก็ยังสงสัยว่าเจ้าเด็กมนุษย์คนนี้ ความจริงไม่ได้มีฝีมือเป็นของตนเอง แต่คงใช้เครื่องมือบางอย่างมากำจัดเพื่อนร่วมงานของพวกมัน และคงเป็นเพราะสมบัติชิ้นนั้นที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าเขาเป็นนักสู้ชั้นปราณก่อกำเนิด
ในโลกใบนี้ จะมีนักสู้ชั้นปราณก่อกำเนิดที่อ่อนแอได้อย่างไร? “ดูเหมือนตอนนี้เราคงต้องใช้กระบี่สุดยอดแล้วนะ” 'เย่ว์หยาง'สามารถนึกถึงโคเงา แต่ระดับและความสามารถของมันยังอ่อนมาก โคเงายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ดีพอของอสูรเจ้าอัคคีหรือมังกรกระดูกที่บินได้
'เย่ว์หยาง'ยังคงต้องการใช้โคเงาในฐานะที่เป็นการโจมตีที่น่าประหลาดใจ เขาจึงยังไม่เปิดเผยตัวนาง แค่เพียงเมื่อ'เย่ว์หยาง'มีเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าเท่านั้น 'เสี่ยวเหวินหลี'ก็ลอยออกมาทันทีในรูปของดวงไฟสีแดง เธอมองไปที่อสูรจ้าวอัคคีจากนั้นหันมาทาง'เย่ว์หยาง' ท่าทีที่น่ารักของเธอคล้ายจะถามว่า “ทำไมท่านไม่อาจเอาชนะปีศาจได้ง่ายๆ เล่า?” แม้ว่า'เสี่ยวเหวินหลี'จะไม่พูดออกมา 'เย่ว์หยาง'ก็เห็นได้จากดวงตาที่กลมโตของเธอ ซึ่งดูเหมือนจะพูดกับเขาได้
พอเห็น'เย่ว์หยาง'ยกนิ้วยอมแพ้เธอ และแสดงการยกย่องเธอ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าน้อยๆ ของเธอ งดงามเหมือนดอกไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดูบริสุทธิ์และอ่อนหวาน เธอโบกมือที่ดูเหมือนดอกไม้ และเรียกคัมภีร์อัญเชิญชั้นเพชรเล่มเล็กประณีตของเธอออกมา
“อ๋า?”
พอเห็นคัมภีร์เพชรที่'เสี่ยวเหวินหลี'เรียกออกมา 'ขุนพลปีศาจ'ทั้งสอง ตกใจจนแทบฉี่ราดรดกางเกง แม่ตัวเล็กนี่เป็นใครกัน? คัมภีร์อัญเชิญชั้นเพชรจะมีพลังเฉพาะตัวขนาดไหน เธอเป็นเจ้าของคัมภีร์เองหรือ?
ในแดนปีศาจ ยอมให้เฉพาะ'ขุนพลปีศาจ', แม่ทัพปีศาจ หรือปีศาจชั้นสูงผู้มีระดับสูงกว่า 2 ระดับ ไม่สามารถมีคัมภีร์เพชรได้ ถ้านักสู้ไม่มีพรสวรรค์พอจะก้าวเข้าสู่ดินแดนปราณก่อกำเนิด อย่างนั้นก็จะได้พิจารณาให้ใช้คัมภีร์ทองขาวสำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักสู้ปราณก่อกำเนิด คัมภีร์เพชรเป็นสมบัติที่มีอยู่จริงซึ่งนักสู้ต่างได้แต่เพียงหวังแต่ไม่เคยได้มาก่อนในชีวิต
ตอนนี้ กลับกลายเป็นว่าแม่ตัวเล็กนี่มีคัมภีร์เพชร เรื่องที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือดูเหมือนเธอจะเป็นอสูรอัญเชิญของเจ้าเด็กน้อยนั่นหรือเปล่า? มัน..มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? อสูรอัญเชิญจะมีคัมภีร์อัญเชิญของตัวเองได้อย่างไร?
'ขุนพลปีศาจ'ทั้งสองรู้สึกว่า พวกเขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ถึงได้เห็นภาพหลอนแบบนั้น อสูรจ้าวอัคคีดูเหมือนจะรู้สึกถึงภัยคุกคามจาก'เสี่ยวเหวินหลี'ได้ มันคำรามดังลั่นแล้วเดินหน้าอย่างประสงค์ร้าย
อย่างไรก็ตาม 'เสี่ยวเหวินหลี'ยืนอยู่ภายในคัมภีร์ทองแดงและภายในโล่ของคัมภีร์เพชร ด้วยการปกป้องของโล่ทั้งสองคัมภีร์ เธอไม่ต้องสนใจความคงอยู่ของจ้าวอัคคีเลย ความจริง 'เสี่ยวเหวินหลี' ไม่ได้ใส่ใจจ้าวอัคคีอสูรชั้นเงินระดับ 7 เลย
พอเห็นอย่างนั้น 'เย่ว์หยาง'ถึงกับงุนงง อสูรชั้นเพชรระดับ 1 แข็งแกร่งขนาดนี้ทั้งหมดหรือ? พวกเขาเอาชนะความแตกต่างในระดับที่มากเช่นนี้ได้หรือ? แม้ว่า'เสี่ยวเหวินหลี'จะเป็นอสูรชั้นเพชรระดับ 1 แต่จ้าวอัคคีก็ยังเป็นอสูรชั้นเงินระดับ 7 ยิ่งไปกว่านั้น'เสี่ยวเหวินหลี'ยังเป็นแค่ทารก เพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน เธอจะเอาชนะจ้าวอัคคีได้จริงหรือ?
แสงสีทองเริ่มฉายออกมาจากมือของแม่หนูอสูรน้อย จากนั้นบนหน้าต่างๆ ของคัมภีร์เพชรยังคงเปล่งแสงสว่างสดใสต่อไป หลังจากนั้น รุ้งและดอกไม้ที่เหมือนจะมีอยู่แล้วปรากฏขึ้นทันที มันแตกต่างจากเมดูซาศิลา ครั้งนี้ใช้เวลาเรียกนานกว่าเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นอสูรที่ปรากฏออกมาไม่ใช่เมดูซาศิลาผู้มีหัวเต็มไปด้วยงู ครั้งนี้อสูรที่ปรากฏออกมาเป็นผู้หญิงที่มีน้ำคลุมไปหมด ผมของนางเหมือนกับสายน้ำตกสีทอง แขนหยกของนางดูเหมือนเหง้าบัว นางมีตัวที่ขาวเหมือนหิมะแต่ไม่ผุดผ่อง
นอกจากมีเปลือกหอยคู่หนึ่งปิดอยู่ที่หน้าอกของนาง ก็ไม่มีอะไรอื่นปิดคลุมนางไว้ ใต้สะเอวที่สวยงามของนางกลับเป็นหางปลาสีทองที่สวยงาม เมื่อ'เย่ว์หยาง'เห็นอสูรแบบนี้ เขาแทบน้ำลายหก นางเงือก อสูรที่ปีศาจน้อยเหวินหลีอัญเชิญออกมาเวลานี้ก็คือนางเงือกที่มีหางทองและร่างกายสีขาวหิมะ เป็นไปได้ว่านางต้องการใช้นางเงือกที่ปรากฏดูเหมือนจะไม่มีพลังรบพอที่จะเอาชนะปีศาจที่ทรงอำนาจอย่างจ้าวอัคคีและมังกรกระดูกได้
เรื่อง..เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ใช่แต่เพียง'เย่ว์หยาง'เท่านั้น แม้แต่'ขุนพลปีศาจ'ทั้งสองก็ไม่เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน เงือกทั้งหมดเป็นอสูรอัญเชิญรูปแบบพิเศษช่วยสนับสนุนการสู้ พวกเขาแทบไม่มีพลังสำหรับสู้เลย ถ้าเป็นเงือกนักรบที่มีสามง่ามของเทพเนปจูน ก็ยังอาจยืนยันได้ว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่เงือกนี้ไม่ใช่อสูรรบแน่นอน...
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
'ขุนพลปีศาจ'ทั้งสองหัวเราะออกมาดังๆ
เพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง จนเสี่ยวเหวินหลีตกใจ
“หึ หึ”
แต่เมื่อจ้าวอัคคีชั้นเงินระดับ 7 เห็นนางเงือกปรากฏตัวขึ้น ทันใดนั้นมันเริ่มหันไปรอบๆ และหาทางหนี แม้แต่มังกรกระดูกที่บินอยู่ในท้องฟ้าก็ดูตื่นตระหนกอยู่บ้าง มันไม่กล้าบินสูง แต่ลงมาอยู่กับพื้นใช้ปีกคลุมตัวของมันที่เต็มไปด้วยกระดูก อ๋า? ไม่ถูกต้องแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่? 'เสี่ยวเหวินหลี'ใช้นิ้วที่ขาวราวหิมะของเธอชี้ นางเงือกทองผู้งามสง่าพยักหน้ารับทันที เปลือกหอยสังข์สีขาวมีลวดลายเส้นสีแดง ไม่ทราบปรากฏมาจากไหน นางเงือกเอามาจ่อใกล้ปากของนางแล้วเป่ามัน
ทันทีนั้น เมฆสีเทานับไม่ถ้วนปรากฏอยู่เหนือสมรภูมิมรณะ เมฆนั้นเปลี่ยนเป็นสีมืดคลึ้ม และลมกระโชกแรงไม่ทราบพัดมาจากที่ใดเริ่มพัดให้ความชุ่มชื้นแก่สมรภูมิมรณะทีละน้อยๆ ครืนนนน ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องอยู่ในกลุ่มเมฆ และเฮอริเคนหลายลูกที่ดูเหมือนมังกรยักษ์ปรากฏออกมาดูดซับน้ำในเมฆไว้ ทั้งสมรภูมิมรณะตกอยู่ในพายุและกลายเป็นอ่างน้ำวนที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง
'เย่ว์หยาง'จ้องอย่างตะลึง ฆ่ากันแบบนี้ไม่เกินไปหรือ? เหลือเชื่อจริงๆ ที่นางเงือกผู้ไม่มีเกราะเลยสักชิ้นบนตัวนาง จะสามารถเรียกพายุได้อย่างนั้น ด้วยเปลือกหอยสังข์ชิ้นเดียว นางเปลี่ยนสมรภูมิมรณะไปเป็นตาพายุ เสี้ยวความคิดแว่บเข้ามาในใจของ'เย่ว์หยาง' จริงสิ เ'สี่ยวเหวินหลี'มีอสูรพิทักษ์ที่แตกต่างกันถึง 4 ตน หนึ่งในนั้นก็คือเมดูซาศิลา และเงือกวายุนี้ก็เป็นอสูรพิทักษ์ของเธอ
เมื่อก่อนนี้เขาไม่ค่อยได้ใส่ใจถึงมันนัก แต่เขาไม่คิดเลยว่าเงือกวายุจะเรียกพายุที่น่ากลัวออกมาได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า'เสี่ยวเหวินหลี'ถึงได้ดูแคลนอสูรจ้าวอัคคี ชั้นเงินระดับ 7 ไม่ว่าจ้าวอัคคีจะมีพลังมากเพียงใด
เมื่อมาพบกับเงือกวายุ ถือว่าเป็นเรื่องโชคร้ายที่ทำให้มันจะต้องแพ้ทันที หยดน้ำนับจำนวนไม่ถ้วนโหมกระหน่ำใส่ร่างอสูรจ้าวอัคคี ตอนแรกจ้าวอัคคียังพอต้านทานได้บ้าง โดยใช้ความร้อนทำให้น้ำที่ตกใส่ตัวมันระเหยออกไป เปลี่ยนสภาพเป็นไอน้ำขนาดใหญ่ แล้วยังขยายตัวออกไปช้าๆ
แต่หลังจากโดนสายฟ้าผ่าร่างอยู่เพียงไม่กี่ครั้ง อสูรจ้าวอัคคีไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ในที่สุดมันกลายร่างเป็นลาวาและไหลหนีออกไป มันยังติดอยู่ในท่ามกลางพายุที่ยังกระหน่ำเทสายน้ำลงเหนือตัวของมัน และสายฝนนั้นกลายเป็นคลื่นที่ถาโถมลงบนพื้นอย่างรุนแรง จ้าวอัคคีดิ้นรนอย่างเจ็บปวด แต่การกระเสือกกระสนของมันแทบจะไร้ประโยชน์ น้ำย่อมดับไฟได้ อสูรจ้าวอัคคีที่แต่เดิมก้าวร้าวและหยิ่งผยองมาก
ในท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ กลับกลายเป็นว่ามีสภาพน่าอนาถ ตลอดทั้งร่างเริ่มค่อยๆ กลายเป็นหิน อย่างไรก็ตาม หลังจากความร้อนที่หลอมละลายหินได้และร่างลาวาแข็งตัวแล้ว สายฟ้าได้ผ่าลงบนตัวมันอีกครั้งจนป่นทำลายหัวของมันไปครึ่งหนึ่ง สะเก็ดหินดำกระจายไปทั่วเผยให้เห็นหินแม็กมาที่หลอมเหลวภายในร่างของมัน จากนั้นเสียงเป่าสังข์ดังขึ้นมาอีกครั้ง คลื่นสายฝนขนาดยักษ์ก็ก่อขึ้นในทันที
ทันใดนั้นก่อนที่มันจะตาย อสูรจ้าวอัคคีทำท่าทางแปลกๆ มันพยายามเอื้อมมือยักษ์เข้าไปในตัว ตรงแผลที่หัวของมันซึ่งตอนนี้แข็งตัวไปแล้วล้วงเอาลูกบอลเพลิงสีแดงสดออกมา จากนั้นโยนมันลงไปบนพื้น ชั่วเวลาต่อมา ร่างยักษ์ของมันก็แตกเป็นเสี่ยงร่วงลงบนพื้นเสียงดังสนั่นในท่ามพายุ นั้นเอง ร่างของมันเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วเปลี่ยนเป็นสะเก็ดหินดำและเถ้าถ่าน ในชั่วพริบตา ก็ถูกพายุโหมพัดปลิวกระจายหายไป
“มีสมบัติด้วย!”
พอเห็นอสูรจ้าวอัคคีโยนวัตถุสีแดงทิ้งไว้ก่อนที่มันจะตาย
'เย่ว์หยาง'มองออกทันทีว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด ถึงยังไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เขาก็มีความสุขมาก ขณะที่เตรียมจะวิ่งเข้าไปในพายุเก็บสมบัติแล้วกลับมาอยู่ในโล่แสงของเขา กลับเป็นเจ้าอสูรทองตัวน้อยที่กลายร่างเป็นกำไลมือบนข้อมือของเขา มันเปลี่ยนคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมของมันจากนั้นผละออกแล้วบินไปที่วัตถุสีแดงนั้น ดูเหมือนว่ามันเตรียมจะขโมยสมบัติของ'เย่ว์หยาง'แล้ว
'เย่ว์หยาง'โกรธจัด ใช้เท้าเตะเจ้าอสูรทองตัวน้อยจนปลิวหายเข้าไปในกลีบเมฆเก้าชั้น ในฐานะที่เป็นอสูรอัญเชิญ เขาอภัยให้มันไปแล้วที่ไม่ยอมออกมาช่วยเจ้านายมันเลย แต่นี่บังอาจแย่งสมบัติเจ้านายเชียวหรือ? นิสัยไม่ดี, ไม่ได้เรียนรู้จาก'ฮุยไท่หลาง'บ้างหรือไง?
'ขุนพลปีศาจ'ที่ยืนหลบอยู่ด้านข้างหมดสติทันทีหลังจากถูกฟ้าผ่า ร่างของพวกมันปลิวไปทั่วบริเวณที่พายุพัดผ่านถึง ตรงกันข้าม มังกรกระดูกยังนับว่าไม่อ่อนแอแม้หลังจากทนต่อสายฟ้าฟาดนับครั้งไม่ถ้วน
นอกจากมีจุดดำบนหัวของมันที่แตกหักไปบ้าง แต่ร่างของมันก็ยังเหมือนเดิม มังกรกระดูกไม่ใช่สัตว์ที่มีธาตุไฟเป็นองค์ประกอบหลัก มันมีร่างที่ทำจากกระดูก พายุฝนฟ้าคะนองไม่สามารถสร้างความเสียหายให้ร่างมันได้ มันแค่ทนต่อสายฟ้าที่กระหน่ำลงที่ตัวมันซึ่งก็สร้างความเจ็บปวดให้มังกรกระดูก
โชคดี ที่สิ่งที่เงือกวายุเรียกมาเป็นแต่เพียงพายุ ไม่ใช่สายฟ้า 'เย่ว์หยาง'ใคร่ครวญว่า ถ้า'เสี่ยวเหวินหลี'ไม่เรียกเงือกวายุออกมาแต่เป็นนาคาสายฟ้าแทน บางทีมังกรกระดูกคงไม่สามารถทนรับการโจมตีได้แน่
'เย่ว์หยาง'ยื่นมือไปหยิบลูกบอลสีแดงที่จ้าวอัคคีโยนทิ้งไว้ก่อนที่มันจะตายอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะได้ใช้ทักษะญาณทิพย์ตรวจสอบดู ทันใดนั้น เขาเห็นเจ้าอสูรทองที่มันเพ่งเล็งสมบัติและผลึกปีศาจ พุ่งไปเกาะที่หน้าผากของมังกรกระดูก มันไม่สนว่ามังกรกระดูกจะต่อสู้ขัดขืน มันเริ่มกินกระดูกแข็งๆ ของมังกรกระดูกทันที ดูเหมือนว่ามันยังต้องการกินผลึกมังกรปีศาจของมังกรกระดูกอีกด้วย
“ผลึกมังกรของข้า...”
'เย่ว์หยาง'ยิ่งกังวลมากขึ้น เจ้าตัวเล็กจอมตะกละนี่ แย่ยิ่งกว่า'ฮุยไท่หลาง'พันเท่า ไม่ใช่สิ หมื่นเท่าเลย มันไม่ยอมกินตรงส่วนอื่นๆ ของมังกร แต่ตั้งใจกินผลึกมังกรเป็นอาหารแทน ผลึกแก้วมังกรนี้ คือสิ่งที่คนอื่นๆ ได้แต่ฝัน แต่มีหวังที่จะได้ ตอนนี้กำลังโดนเจ้าอสูรทองจอมตะกละแทะเล็มดิบๆ เหมือนกำลังแทะแตงกวากรอบอย่างนั้น
ที่มา:https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=79