ตอนที่ 77 เติมปุ๋ย
มีเจ้าโง่เง่าบัดซบคนหนึ่งที่จะกล้าเผชิญหน้ากับ'ขุนพลปีศาจ'จำนวนหลายสิบ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีปีศาจจำนวนเป็นแสนอยู่ที่ด้านหลังของพวกมันอีก ปฏิกิริยาแรกของ'เย่ว์หยาง'คือวิ่งเข้าไปหาลูกไฮดราตัวที่ใกล้ที่สุด
เขาเตรียมกอดมันไว้ตัวหนึ่งไม่ว่าจะเป็นหรือตาย จากนั้นอัญเชิญคัมภีร์ชั้นทองแดงของเขาออกมา เพื่อให้ม่านพลังปกป้องเขาไว้ แล้วใช้ม้วนเทเลพอร์ตพากลับไปอยู่ใต้ต้นโอ๊คหมื่นปี
ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่ถูกโจมตี การสู้กับไฮดราเต็มวัย เป็นเรื่องที่เปลืองกำลัง แต่คงไม่มีปัญหาเมื่อสยบลูกไฮดราได้ แต่'ขุนพลปีศาจ'จะยอมปล่อยให้'เย่ว์หยาง'จากไปได้ตามใจชอบหรือ? แทบจะในทันทีเมื่อ'เย่ว์หยาง'ขยับ 'ขุนพลปีศาจ'ทั้งหมดก็ขยับตามด้วยเช่นกัน
'เย่ว์หยาง'พบว่าเครื่องมือเทเลพอร์ตในแดนปีศาจ เป็นอะไรที่แตกต่างจากที่ใช้ในทวีปมังกรทะยาน ถ้านักรบในทวีปมังกรทะยานต้องการใช้ม้วนเทเลพอร์ต พวกเขาจะต้องเปิดมันและอัญเชิญมันด้วยพลังภายในของพวกเขา
ช่วงก่อนนั้น เขามัวแต่ให้ความสนใจหลบหนีมากเกินไปโดยไม่ดูให้ดีเสียก่อน แต่เวลานี้ 'เย่ว์หยาง'เห็นได้ชัดเจนทีเดียว พวก'ขุนพลปีศาจ'โยนวัตถุสีดำลงมาแทบจะพร้อมกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นลูกบอลสีดำขนาดเท่ากำปั้น
ก่อนที่มันสัมผัสใครก็ตาม มันจะแตกโดยไม่มีเสียงแล้วกลายเป็นลำแสงสีดำ ภายในพื้นที่ครอบคลุมไปด้วยลำแสงสีดำ แต่ละลำแสงจะตั้งเป้าหมายเทเลพอร์ตไปยังพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้
ถ้า'เย่ว์หยาง'ไม่ละโมบและยืนกรานที่จะล็อคคอลูกไฮดราไว้ ด้วยพลังการเคลื่อนไหวของเขาลูกบอลเทเลพอร์ตของปีศาจคงยากที่จะกระทบเขาได้ แต่ตอนนี้..
'เย่ว์หยาง'ปฏิเสธที่จะโอนอ่อนผ่อนตามและผ่อนให้ลูกไฮดราดิ้นรนจนถูกเทเลพอร์ตไปยังสมรภูมิมรณะอีกแห่งหนึ่ง ไม่ใช่แต่เพียงแค่นั้น ตอนนี้ไม่ใช่เป็นแค่'ขุนพลปีศาจ'ตนเดียวที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วย แต่เป็น'ขุนพลปีศาจ' 5 ตนที่เขาต้องต่อสู้พร้อมกันทีเดียว
หลังจาก'ขุนพลปีศาจ' 5 ตนเข้ามาในพื้นที่สมรภูมิมรณะ พวกมันตั้งใจแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยมนุษย์ผู้นี้ไปจากที่นี้ทั้งที่ยังมีชีวิต พวกมันปรึกษาหารือกันถึงวิธีรับมือ'เย่ว์หยาง' 'เย่ว์หยาง'ไม่เข้าใจเรื่องที่พวก'ขุนพลปีศาจ'คุยกัน
เนื่องจากพวกมันคุยกันด้วยภาษาปีศาจ แม้ว่าเขาจะสามารถเข้าใจพวกมันได้ แต่เขาก็ไม่มีเวลาสนใจพวกมัน ลูกไฮดราที่เขาล็อคคอมันไว้กำลังดิ้นรนด้วยพลังของมันเต็มที่
แม้ว่ามันจะเป็นแค่ลูกสัตว์อสูร และมีเพียงแค่ 3 หัว แต่ขนาดของลูกไฮดราก็ยังใหญ่กว่าวัวเสียอีก และคอทั้ง 3 ของมันก็ยาวคล้ายคองูเหลือม แต่หัวของลูกไฮดราก็ยังโตกว่าหัวงูเหลือม (เต็มวัย) และยิ่งไปกว่านั้น เขาแปลกๆ และครีบที่ยังปรากฏอยู่ ฟันของมันคมพอๆ กับใบมีด และแต่ละครั้งที่มันกัดอย่างคคุ้มคลั่ง มักจะทำให้'เย่ว์หยาง'ลำบากเสมอ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” พอเห็นฉากตลก 5 ขุนพลปีศาจถึงกับกุมท้องตัวเองหัวเราะกันลั่น พวกมันรู้สึกทันทีว่า เจ้ามนุษย์หนุ่มน้อยนี้ไม่ได้ตั้งใจโจมตีแดนปีศาจ สิ่งเดียวที่พวกมันไม่เข้าใจก็คือ เจ้าเด็กตัวแสบนี่ ใช้ม้วนเทเลพอร์ตประสาอะไร ถึงได้ส่งเข้ามาในสมรภูมิรบโบราณ? เขาเคยมาที่นี่ก่อนหรือ? 5 ขุนพลปีศาจยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าพวกเขาจับตาดูและปล่อยเจ้ามนุษย์น้อยผู้นี้ไว้ก่อน บางทีเขาอาจไม่รอดโดนไฮดรากินทั้งเป็นก็ได้ มีหลายครั้งที่มนุษย์ลงมาต่อสู้ภายในดินแดนปีศาจ แต่เจ้าเด็กนี่อ่อนแอที่สุด ทำให้พวกเขาตลกได้มากที่สุด พวกเขาไม่เคยเห็นคนงี่เง่าอย่างอย่างนี้จากบรรดานักรบทั้งหมดที่เข้ามาถึงที่นี่ ไฮดราทั้ง 3 หัวจนล้มลงหมดฤทธิ์ ณ ตรงนั้นเอง พวกขุนพลปีศาจพากันหัวเราะจนตัวงอ “เจ้ามนุษย์! นี่เจ้ากะจะทำให้พวกข้าขำจนขาดใจตายใช่ไหม? เทียบกับการใช้พลังของเจ้าแล้ว ทำให้พวกข้าขำตาย ได้ผลมากกว่าจริงๆ!”
'ขุนพลปีศาจ'คนที่สูงที่สุดลุกขึ้นยืนแล้วพูดด้วยภาษาชาวทวีปมังกรทะยาน
พอเขาพูดจบ 'ขุนพลปีศาจ'อีก 4 ตนหัวเราะกับแบบไม่ยั้งอีกครั้ง
“ข้ายอมแพ้ได้ไหม?”
ขณะที่'เย่ว์หยาง'ถามอย่างนี้
พวก'ขุนพลปีศาจ'ที่อยู่ด้านตรงข้ามหัวเราะลั่น คราวนี้ถึงกับหัวเราะจนน้ำตาไหล ไอ้หนูนี่คงนึกว่าที่นี่คือผับมั้ง? ในสมรภูมิมรณะ ต้องมีฝ่ายหนึ่งตายและมีอีกฝ่ายหนึ่งรอด มิฉะนั้น ต่อให้เป็นจ้าวปีศาจก็จากไปไม่ได้ กฎโบราณนี้ใครๆ ก็ไม่สามารถล่วงละเมิดได้ 'ขุนพลปีศาจ'ที่ตัวเตี้ยที่สุด พยักหน้ากล่าวอย่างจริงใจว่า
“ข้าจะอนุญาตให้เจ้ายอมแพ้ แต่ต้องหลังจากเจ้าตายแล้วนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
'เย่ว์หยาง'เห็นว่าเขาไม่มีทางเลือก
ดูเหมือนว่าทวีปมังกรทะยานและดินแดนปีศาจ ยังคงเป็นอริต่อกันและกันจริงๆ และไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกลมเกลียวกับอีกฝ่าย ในชั่ววินาที นักท่องเที่ยวข้ามโลกก็เปลี่ยนจากผู้รักสันติมาเป็นพวกบ้าต่อสู้ หลักการที่เขาได้รับแนะนำแต่แรกคือถ้าหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ เขาก็จะไม่สู้ ถ้าสู้กันแต่แรก เขาคงเอาชีวิตอีกฝ่ายหนึ่งไปแล้ว
'เย่ว์หยาง'อัญเชิญคัมภีร์ทองแดงของเขาออกมา และเรียกต้นดอกหนามทองที่ยังคงย่อยแขนของเจ้าปีศาจ'ฮาซิน'ไม่เสร็จออกมา และให้มันทำการฝังรากกับพื้น
“นักอัญเชิญระดับฝึกหัดหรือ? ต้นดอกหนามหรือ?”
5 'ขุนพลปีศาจ'ถึงกับตะลึง
พวกเขากำลังจ้อง'เย่ว์หยาง'เหมือนกับว่ากำลังดูคนบ้า คนๆ เดียวกับคัมภีร์อัญเชิญพื้นฐานระดับกลาง บังอาจเข้ามาสู้ในแดนปีศาจ?
“เอ่อ..เจ้าเตรียมตัวให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ เสร็จเมื่อไหร่ค่อยบอกเรา”
'ขุนพลปีศาจ'ที่ตัวสูงที่สุดพูดอย่างนี้ด้วยความใจกว้างมาก
“เจ้าเลือกได้นะว่าจะตายแบบไหน! จะถูกตัดเป็นชิ้นๆ, แขวนคอตาย, จมน้ำตาย, หรือถูกเผาตาย, ทั้งหมดนี้ให้เจ้าเลือกอย่างไหนก็ได้ หรือว่าเจ้ามีไอเดียแนวคิดวิธีตายใหม่ๆ ก็ย่อมไม่เป็นปัญหาเลย, โอ..จริงสิ จะให้ข้าจารึกชื่อของเจ้าบนหลุมศพว่ายังไงดี? เขียนอย่างนี้ดีไหม?”
“ระวัง! พวกแกจะติดเชื้อโง่จากข้า!”
'ขุนพลปีศาจ'ผู้ตัวเตี้ยที่สุด ยังกล่าวคำนี้อย่างจริงจัง
“บอกตามตรงเลยนะว่า เจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้คนแรกที่ข้าพบว่า ข้าไม่ได้รู้สึกว่าจะประสบความสำเร็จแต่อย่างใดเลยหลังจากเอาชนะเจ้าได้...”
'ขุนพลปีศาจ'ผู้มีปีกยังคงถอนใจไม่หยุด
“ข้าจะไปนอนสักครู่ ฆ่ามันเสร็จค่อยมาเรียกข้าก็แล้วกัน”
'ขุนพลปีศาจ'ผู้ตัวอ้วนเหมือนหนอนล้มลงนอนอย่างสบายอารมณ์
“เนื่องจากพวกเจ้าทั้งหมดไม่ต้องการทำ อย่างงั้นข้าจะทำเอง สำหรับพวกมนุษย์ ข้าไม่ออมมืออยู่แล้ว”
'ขุนพลปีศาจ'ที่ตัวเตี้ยที่สุดและเป็นตนเดียวที่ไม่สวมเกราะเวท แต่สวมเสื้อแนบผิวแปลกเดินออกมาจากกลุ่ม'ขุนพลปีศาจ'
จากที่เห็นใบหน้าของมันแห้ง มีกระแสปราณดำไหลออกมาและตาของมันทอประกายสีแดง มันกวัดแกว่งกรงเล็บปีศาจ และเรียกคัมภีร์อัญเชิญสีเงินที่มีปราณดำเปล่งออกมา
จากนั้น แสงสีแดงปรากฏออกมาจากคัมภีร์อัญเชิญเงิน ดูเหมือนว่ามันกำลังพึมพำกับตัวเอง หลังจากผ่านไปนาน เสียงเฟี้ยวแหลมที่ทำให้คนขนลุกผมชันจนถึงปลายผมเปล่งออกมาจากสัตว์อสูร
'เย่ว์หยาง'สั่นเล็กน้อยขณะมองดูแสงไฟ เขารู้สึกถึงพลังแสงสีแดงระเบิดได้เป็นล้านครั้ง ถ้า'ฮุยไท่หลาง'กระโจนเข้าไปในใจกลางแสงสีแดง ร่างของมันจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ยังดีที่เขารู้อันตรายของแดนปีศาจแล้ว และตัดสินใจไม่พา'ฮุยไท่หลาง'มาด้วย
เขาทิ้งมันไว้ใต้ต้นโอ๊คหมื่นปี ปล่อยให้มันรอ'เย่ว์ปิง'กับ'อี้หนาน' ในขณะเดียวกันเขาก็หวังว่ามันจะกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่เขาวางไว้เป็นเครื่องหมายบนพื้นเทเลพอร์ต ถ้ามีอะไรผิดพลาด จนทำให้เขาติดอยู่ในแดนปีศาจตลอดไป ไม่สามารถกลับมาได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเป็น 2 เท่า 'เย่ว์หยาง'ยังคงทำเป้าหมายเทเลพอร์ตไว้บนตัว'ฮุยไท่หลาง'
แสงสีแดงระเบิดตามมาด้วยเสียงกึกก้อง พายุรุนแรงกระหน่ำต่อเนื่อง คลื่นกระแทกที่รุนแรงปะทะกับโล่ห์แสงของ'เย่ว์หยาง'จนสะเทือน แผ่นดินแตกระแหง และลาวาสีแดงพ่นรดไปบนพื้น
'ขุนพลปีศาจ'ที่อยู่ในชุดเสื้อดำ ใช้กรงเล็บกดลงบนคัมภีร์เงินเบาๆ และบริกรรมคาถาอีกครั้ง ลูกบอลไฟลูกหนึ่งลอยขึ้นมาจากลาวา และพื้นที่โดยรอบเริ่มมีเปลวไฟโหมกระหน่ำ พื้นที่ๆ มีลาวาไหลผ่านมีขนาดไม่ใหญ่ กว้างราวๆ 10 เมตรหรือมากกว่านั้น แต่ภายใต้เปลวไฟโหมกระหน่ำ พื้นที่ก็ขยายตัว
ในที่สุดก็กลายเป็นสายธารเปลวไฟไหลไปทุกที่ พลังอัญเชิญสัตว์ประจำธาตุงั้นหรือ? 'เย่ว์หยาง'ยังทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ขมวดคิ้ว เป็นไปตามคาด พวก'ขุนพลปีศาจ'มีคัมภีร์อัญเชิญ ยากที่จะจัดการได้ โชคดี ที่ขณะนี้ดูเหมือนว่าแค่'ขุนพลปีศาจ'ที่มีคัมภีร์อัญเชิญก็คือปีศาจผอมนี้ ยังไม่รวมกับคนอื่นๆ 'ขุนพลปีศาจ'ชุดดำคือศัตรูตัวจริง
แม้ว่าเขาเพิ่งจะแสดงออกว่าเป็นคนอ่อนแอไปแล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังคงไม่ประมาท'เย่ว์หยาง' ดูเหมือนว่าปีศาจตนนี้จะน่ากลัวที่สุดและจัดการได้ยากที่สุดในบรรดาขุนพลปีศาจทั้ง 5 ...
แม้เป็นการกระทำของ'ขุนพลปีศาจ' 'เย่ว์หยาง'ก็ยังเข้าใจได้หลายเรื่อง 'ขุนพลปีศาจ'เหล่านี้เข้าใจจุดอ่อนอสูรของมนุษย์ได้ดีทีเดียว อสูรของมนุษย์เกือบทั้งหมดเป็นประเภทสัตว์ร้ายหรือไม่ก็สัตว์ปีก
บนพื้นผิวของกระแสลาวาและเปลวไฟที่ลุกกระหน่ำ เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันส่วนมากจะอยู่รอดได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสู้ ถ้าเขาพา'ฮุยไท่หลาง'มาด้วย มันคงเป็นได้แค่ไม้ประดับ ในทางตรงกันข้ามปีศาจในแดนปีศาจหลายชนิดไม่กลัวไฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีศาจจากนรก สำหรับพวกมันแล้วเปลวไปฆ่าพวกมันไม่ได้ มันจะรู้สึกเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำ มีแต่จะทำให้พวกมันเพิ่มพลังขึ้นหลายเท่า
“เอาล่ะ, เราจะมาเล่นด้วยกับเจ้า บางครั้ง ได้หยอกเย้าหนอนตัวน้อยบ้างก็ยังค่อยมีความหมาย”
'ขุนพลปีศาจ'ที่ตัวสูงที่สุดเรียกเปลวไฟดำออกมาเคลือบกระบี่เล่มมหึมาของเขาพลางเดินออกมา
ขณะที่เขาสาวเท้าออกมาเปลวไฟก็ลุกโหมอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้รับอันตรายเลยและมีเพียงร่องรอยเปลวไฟไหม้ตรงเท้าของเขาเท่านั้น
“ข้าหวังว่าเจ้าหนูนี่ จะไม่ตายเร็วเกินไปนะ”
'ขุนพลปีศาจ'ที่ตัวเตี้ยที่สุดกวัดแกว่งขวานของเขา และอัญเชิญหัวกะโหลกงงงวยออกมาติดไว้ที่หัวขวาน หัวขวานกลายเป็นขวานกะดูกที่น่ากลัว นัยน์ตาปีศาจส่องแสงสีเขียว และมีจุดรอบๆ ขวานดูแปลกและน่าขยะแขยง
เบื้องหลังพวกเขา 'ขุนพลปีศาจ'ที่มีปีกและ'ขุนพลปีศาจ'อ้วนยังไม่ยอมขยับและแค่ชมการต่อสู้และยิ้มเต็มหน้าเท่านั้น พวกเขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มชาวมนุษย์ที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาจะสามารถเอาชนะ'ขุนพลปีศาจ'ทั้ง 3 ที่ร่วมมือต่อสู้กันได้
ยิ่งไปกว่านั้้นพวกเขายังอยู่ภายใต้อสูรเฉพาะธาตุอย่างลาวาและอสูรไฟนรก เด็กฝึกใช้คัมภีร์สามารถอัญเชิญสัตว์อสูรได้เพียงตัวเดียว เจ้าเด็กนั่นเรียกต้นดอกหนามไปแล้ว ไม่สามารถเรียกอสูรตัวที่สองออกมาได้
แม้ว่าต้นดอกหนามจะเป็นอสูรสายพฤกษา ซึ่งโดยธรรมชาติจะข่มอสูรในนรกได้ และพัฒนาให้ถึงระดับทองได้ ขณะที่ต้นดอกหนามนี้ มีระดับต่ำเกินไป ดูเหมือนว่าไม่น่าจะสูงกว่าระดับ 2 และมันยังคงเป็นต้นอ่อนที่กำลังเติบโต แล้วมันจะใช้ได้อย่างไรกัน? อัญเชิญต้นดอกหนามเป็นการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ก่อนตายเท่านั้นเอง
“ดูเหมือนว่าข้าจะระวังตัวมากขึ้นแล้ว พลังวิญญาณของต้นดอกหนามยังคงทรงพลังมาก”
'ขุนพลปีศาจ'ที่ตัวสูงที่สุดเริ่มจะเยาะเย้ยและหัวเราะเยาะ'เย่ว์หยาง'
“ข้าจะบอกให้ สหายเก่า ดูให้ดี เป็นไปไม่ได้ที่ต้นดอกหนามนี้จะพ่นพิษตามที่มันต้องการได้ มันยังคงย่อยอะไรบางอย่างอยู่ ข้าสงสัย มันกินอะไรเข้าไป? เรามาเริ่มสู้กันได้แล้ว ทำไมมันยังย่อยไม่เสร็จเสียที?”
'ขุนพลปีศาจ'ตัวเตี้ยร่วมกับ'ขุนพลปีศาจ'ตัวสูงล้อม'เย่ว์หยาง'เอาไว้ขณะที่พวกเขาจู่โจม
พวกเขาตั้งใจจะทำลายม่านพลังคุ้มกันของ'เย่ว์หยาง'ด้วยดาบเพลิงกับขวานกระดูก คุกคามทางจิตใจเขาและใช้ประโยชน์จากวิธีนี้ สำหรับพลังโจมตีของต้นดอกหนาม พวกเขาไม่สนใจมัน พอเห็นปีศาจสองสหายเดินไปคุยไปและไม่สนสิ่งที่อยู่รอบตัวพวกเขา ใบหน้าของ'เย่ว์หยาง'ปรากฏรอยยิ้มที่ลี้ลับทันที
“เอ๋?”
'ขุนพลปีศาจ'ชุดดำคอยสังเกตท่าทางของ'เย่ว์หยาง'ต่อเนื่อง
เขารู้สึกว่าพฤติกรรมของเจ้าหนุ่มนี่ น่าอึดอัดมาก แต่เขาไม่แสดงสีหน้าว่ากลัวหรืออึดอัดอะไรเลย นี่ผิดปกติมากเกินไป เป็นไปได้ว่า เขาจงใจแสดงว่าเป็นคนอ่อนแอหรือเปล่า?
ความคิดนี้แว่บเข้ามาในหัวของ'ขุนพลปีศาจ'ชุดดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเขาเห็นรอยยิ้มลี้ลับบนใบหน้าของ'เย่ว์หยาง' เหมือนกับว่าสายฟ้าแว่บผ่านเขาไป ก่อนที่เขาจะส่งเสียงเตือนสหายของเขา
'เย่ว์หยาง'ได้หลบออกมาจากม่านแสงของเขาแล้ว พุ่งผ่านพวกเขาไปราวกับดาวตก ไม่มีใครเห็นความเคลื่อนไหวหรือรูปร่างเขาชัดเจน เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง 'ขุนพลปีศาจ'ข้างหลังเขาก็ล้มลงดังตึงไปเรียบร้อยแล้ว
“อ๋า..ปุ๋ยชั้นดีนะนี่!”
'เย่ว์หยาง'ใช้มีดของเขาแทงที่หัวใจของ'ขุนพลปีศาจ'ทั้ง 2
จากนั้นลาก'ขุนพลปีศาจ'ทั้งคู่ที่ยังมีเลือดไหลเข้าไปในม่านแสง เขาเรียกหน่อของต้นดอกหนามออกมา 2 หน่อ พอหน่อทั้ง 2 อ้าปากขนาดยักษ์ของมันและกิน'ขุนพลปีศาจ'ทั้ง 2 ที่ยังดิ้นรนอยู่ทั้งเป็น
แม้แต่ดาบเปลวไฟและขวานกะโหลกก็กลืนลงไปทั้งหมด จากนั้นหน่อทั้งสองก็ขยายรากออกไปและเชื่อมกับต้นใหญ่จนทำให้พลังงานที่ได้จากการย่อยไหลเข้าไปในต้นหลักอย่างต่อเนื่อง
“อ๋า...”
เหตุการณ์นี้เหมือนกับถูกฟ้าผ่า จนทำให้'ขุนพลปีศาจ'ที่เหลืออีก 3 ตนพูดอะไรไม่ออก 'ขุนพลปีศาจ'ทั้งสอง ถูกต้นดอกหนามกินโดยไม่อาจต่อต้านแข็งขืนได้อย่างไร? กะ..เกิดเรื่องบ้าอะไรกันแน่? เจ้าเด็กแสบเพิ่งทำอะไรลงไป?
ที่มา:https://writer.dek-d.com/tanay2507/story/viewlongc.php?id=1429532&chapter=77